เซ็กแอพพิล แรงดึงดูดทางเพศต่อเพศตรงข้าม

เซ็กแอพพิล ความมีเสน่ห์ น่าหลงใหล โดยที่ปราศจาก การปรุงแต่ง ทุกอย่างเกิดขึ้น และเป็นอย่างวิถี ของธรรมชาติ โดยสามารถรับรู้ และสัมผัสได้ด้วย พลังงานที่เป็น แรงดึงดูดที่ออกมาจาก ภายในสู่ภายนอก ซึ่งมีผลโดยตรงกับคู่ที่มีเคมีตรงกัน โดยเฉพาะเรื่องของการดึงดูดทางเพศ และความต้องการทางเพศ
ด้วยความเป็นธรรมชาติ มันจึงทำให้เกิดความน่าหลงใหล แบบยาวนาน ความมีสเน่ห์ โดยที่ไม่ได้พยายาม หรือเสแสร้งที่จะเป็นจึงเป็นสิ่งที่น่าค้นหา และน่าสนใจ ลักษณะของเซกแอพพิล ที่สามารถอธิบายได้ชัดเจน ที่เห็นได้ชัด นี้เป็น เป็นอย่างไร

5 ลักษณะเด่น ที่มีความน่าสนใจ  เซ็กแอพพิล Sex Appeal

กลิ่น ด้วยความชอบ ที่เกี่ยวกับกลิ่น ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ต่างฝ่ายก็พยายาม ที่จะค้นคว้าหรือสรรหา ให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ ที่มีลักษณะพิเศษ ในเรื่องของความหอม เพื่อนำมาฉีด ตามจุดต่างๆในร่างกาย เช่น หลังใบหู ซอกคอ ตามข้อมือ ข้อพับศอก หรือตามเสื้อผ้าที่ใส่ เป็นต้น เพื่อเป็นการสร้างกลิ่นหอม ให้กับร่างกาย

ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ ที่เกี่ยวกับความหอม เป็นเรื่องที่ไม่ผิด แต่อย่างใด แต่มันเป็นการ ปกปิดกลิ่นธรรมชาติ ในร่างกายของแต่ละคนที่เป็น กลิ่นพิเศษเฉพาะตัวที่ แต่ละคนนั้นมีแตกต่างกัน ออกไป  ร่างกายของผู้หญิง โดยทั่วไป ที่อยู่ในช่วงใข่ตก ร่างกายจะผลิต Pheromones ที่ชื่อ Copulins   และผู้หญิงแต่ละคน ก็จะมีกลิ่น Copulins ที่แตกต่างกัน

เซ็กแอพพิล 2

กลิ่นของ Copulins ตัวนี้ จะเป็นกลิ่น ที่กระตุ้นให้ผู้ชายนั้น มีอารมณ์ทางเพศ และมีความต้องการทางเพศ มากขึ้น เมื่อได้กลิ่น ซึ่งการใช้ ผลิตภัณฑ์น้ำหอม หรือครีมทาตัว ที่มีกลิ่นหอม จึงเป็นการทำลาย ความเป็นธรรมชาติของ Pheromones ที่ร่างกายแต่ละคนนั้นได้ผลิตออกมา

กลิ่นของ Pheromones ที่ชื่อ Androstenone เป็นกลิ่นของเหงื่อ ที่ออกมาจากร่างกาย โดยส่วนมาก จะถูกพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งกลิ่น Androstenone จากการวิจัย ได้รับผลว่า ผู้หญิงเมื่อได้กลิ่น Androstenone นี้ที่ติดจากเสื้อผ้า ของผู้ชาย ยิ่งสร้างแรงดึงดูด ทางด้านอารมณ์ ความต้องการได้ดี

ใบหน้าและผิวพรรณ ไม่มีการให้จำกัด ความแบบไหน ที่สรุปได้ว่ารูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณแบบใด ที่จะถูกกำหนด ว่าเป็นลักษณะที่ สามารถเรียกได้ว่า รูปร่างหน้าตาแบบนี้ ผิวพรรณแบบนี้ เป็นลักษณะที่มี ความโดดเด่น และอยู่ในกลุ่ม ที่มี Sex Appeal

แต่จากการ สังเกตุผู้หญิง ที่อยู่ในช่วง ของการตกไข่ ที่กำลังเตรียมพร้อมเข้าสู่ การจะมีประจำเดือน ร่างกายและผิวพรรณ จะมีความดึงดูด เป็นอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะ ร่างกายและผิวพรรณ ดูดีมีน้ำมีนวลเปล่งปลั่ง จึงทำให้ดูมีเสน่ห์มากขึ้น ในช่วงเวลาดังกล่าวนั่นเอง

ใบหน้าและผิวพรรณ

เสียง เรื่องท่วงทำนองของเสียง จังหวะการพูด หรือแม้กระทั่งความเข้มข้นของเส้นเสียงเมื่อเวลาได้ยินหรือได้พูดคุย จุดเด่นของความดึงดูดที่เสียงนั้นมี ล้วนสร้างความหมายที่ทำให้เกิดความสนใจที่แตกต่างกัน จากการทดสอบและถามเรื่องของความรู้สึก และความสนใจในเพศชาย

เสียงสูง คือ ผู้หญิงที่มีโทนเสียงสูง ทำให้สัมผัส ได้ถึงความมั่นใจในตัวเอง และความเป็นตัวเองนั้นสูง และชอบการแสดงออก ชอบที่จะเป็นจุดที่ น่าสนใจในสังคม ดังนั้น ความมั่นใจในตัวเอง และกล้าคิดกล้าทำ กล้าตัดสินใจ จึงเป็นเสน่ห์อย่างนึง ที่ดึงดูดความสนใจ ในเพศตรงข้าม ที่ชอบอยู่กับความท้าทาย และตื่นเต้น

เสียงต่ำ คือ สำหรับผู้หญิง ที่มีโทนเสียงต่ำ ก็มีเสน่ห์ดึงดูด ในเรื่องของความนิ่งขรึม ที่มีเสน่ห์น่าค้นหา รู้สึกถึงอารมณ์ร่วม ในการใช้เวลา การพูดคุยที่มีบรรยากาศ ที่สุขุมลุ่มลึก และยังสัมผัส ได้ถึงอารมณ์ทางร่างกาย ที่ส่งมาจากลักษณะของเสียง ที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยแง่มุม ที่น่าศึกษาและค้นหา ภายใต้น้ำเสียงที่ได้ยิน

voice

การจูบการกอดการสัมผัส ความสัมพันธ์ บางครั้งก็วัดกัน ด้วยการจูบกันครั้งแรก มีหลายคู่ ที่สานต่อความสัมพันธ์ หลังจากการจูบกัน ครั้งแรก และก็หลายคู่ เช่นกันที่เลือก ที่จะไม่ไปต่อ เนื่องจากรสชาติของ การจูบกันครั้งแรก ไม่น่าประทับใจ การจูบสามารถนำไป เป็นบททดสอบ ที่ทำให้ได้รับรู้ว่า คุณทั้งสองคนนั้น เข้ากันในได้มั้ย

ประสาทสัมผัส ที่ได้รับจากการจูบ กลิ่นที่ได้จาก การรับรู้ใน รสสัมผัส จะทำให้คุณ นั้นรับรู้ได้ โดยธรรมชาติว่า คุณนั้นชอบ ในรสสัมผัสราคะ นี้หรือไม่ การเชื่อมโยง การส่งต่อกัน ไปมาจะทำให้คุณนั้น ได้รับรู้ว่า เมื่อคุณตกลง ที่จะคบหากันนั้น คุณทั้งสองจะส่งต่อกัน ในรสชาติของ ความสัมพันธ์ เป็นไปในแบบใด

ความสัมพันธ์ที่ดี ควรที่จะมีการสัมผัส การจูบการกอดกัน ให้เป็นกิจวัตร เพราะจากผลการวิจัย พบว่าคู่รักที่มี การกอดหรือ จูบกันทุกอย่างน้อย วันละ 10 วินาที จะช่วยลด จากอาการเครียด และหดหู่ ในอารมณ์ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ

kissing

ความมั่นคงในฐานะการเงิน และการงานที่มั่นคง เกิดคำถาม เมื่อเห็นผู้ชาย ที่ดูมีอายุมากกว่า ผู้หญิงมีความสัมพันธ์ หรือคบหาดูใจกัน มีให้เห็นในหลายๆคู่ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ รูปร่างหน้าตาหรือวัย ที่ใกล้เคียงกัน อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ ดึงดูดให้เพศตรงข้าม นั้นให้สนใจได้เสมอไป

เรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่ ที่สบายไม่ต้องลำบาก มีเงินให้ใช้ มีบ้านให้อยู่ ได้อย่างสบาย ดังนั้นผู้ชาย ที่สามารถดูแล ให้คุณภาพชีวิตของผู้หญิง หรือคนที่อยู่ด้วยกันนั้น ไม่ลำบากก็เป็นปัจจัย การดึงดูดให้เพศตรงข้าม นั้นเข้าหาและตกลง ที่จะคบหาดูใจกัน จึงไม่ใช่เรื่องยาก ถึงแม้บางคน รูปร่างภายนอก อาจจะไม่น่าดึงดูด ก็ตาม

มีฐานะ

บทส่งท้าย

ธรรมชาติของร่างกาย ทุกคนต่างมีลักษณะ เฉพาะที่โดดเด่น และดึงดูดในแบบของตัวเอง ซึ่งความโดดเด่น และแรงดึงดูดที่มี หรือความมีเสน่ห์ เป็นสิ่งที่ถูกสร้างมา เพื่อคนที่เชื่อมโยงถึงกัน ความมีเสน่ห์ และแรงดึงดูด จึงๆไม่ใช่รสสัมผัส ที่จะมีผลสำหรับเพศตรงข้ามทุกๆคน แรงสัมผัสจะ สามารถเข้าถึงผู้ที่ สามารถเชื่อมโยงกัน ได้จริงๆเท่านั้น

เปรียบเสมือนเนื้อคู่ ที่ถูกสร้างมา เพื่อที่จะได้คบกัน หรือต้องเป็นคู่ ที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อกันและกัน สิ่งที่เป็น เสมือนความมีเสน่ห์หรือแรงดึงดูด จึงจะมีผลได้โดยตรง กับคนที่คู่กันนั่นเอง

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทำไมคนเราไม่รู้จักพอ

0

ทำไมคนเราไม่รู้จักพอ นั่นสินะมันเป็นคำถามที่ไม่รู้จะ หาคำตอบไหน ที่สามารถจะทำให้ เกิดความเข้าใจได้อย่างไร อย่างแรกเราคงต้องมา ดูกันก่อนว่าคำว่า ” พอ ”  นั้นมีความหมาย ที่จำกัดความว่าอย่างไรบ้าง ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ได้ให้ความหมายไว้ว่า เท่าที่ต้องการ ควรแก่ความต้องการ เต็มที่เท่าที่จำเป็น เต็มตามต้องการ  

โดยความเป็นจริงแล้วนั้น ความหมาย ไม่ได้ยากที่จะ พยายามเข้าใจว่า คำว่า ” พอ ” นั้นมีความหมาย ว่าอย่างไร แต่การกระทำนี่แหล่ะ ที่ดูเหมือนเป็น สิ่งที่ยากมาก สำหรับคนบางคน ที่เอาเข้าจริงๆ ตลอดระยะเวลา ในการใช้ชีวิตนั้น อาจจะห่างไกล คำว่าพอเสียด้วยซ้ำไป

ทำไมคนเราไม่รู้จักพอ ความอยากได้ ความต้องการ กิเลสตัณหา ไม่มีที่สิ้นสุด ต้องพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ ตัวเองนั้นมีความต้องการ จนบางครั้งลืมไปว่า บางสิ่งบางอย่างนั้น มีมากจนเกิน ความจำเป็น หรือบางสิ่ง บางอย่างนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น หรือมีความสำคัญกับชีวิตเลย ตัดๆมันออกไปบ้างก็ได้

เมื่อในสังคม มีคนที่ไม่รู้จักคำว่าพอ มากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมจะส่งผลต่อ การดำรงค์อยู่ ของคนที่อยู่ร่วมกัน ได้มากขึ้นตามลำดับ  หรือถ้าจะอธิบายง่ายๆ ลักษณะจะคล้ายๆ อาการของคนเห็นแก่ตัว ที่เวลาจะทำอะไร จะต้องนึกถึง ตัวเองเป็นหลัก ความต้องการของ ตัวเองหรือกลุ่มพวกพ้องต้องมา เป็นอันดับแรกเสมอ

ทรัพย์สิน

เงินทอง ทรัพย์สิน สมบัติภายนอก ที่ไม่รู้จักพอ

เป็นเรื่องธรรมดา ที่คนเรานั้น จะแสวงหา ความสะดวกสบาย ที่จะทำให้ชีวิตนั้น ไม่ลำบาก ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทรัพย์สิน เงินทอง เป็นสิ่งที่จำเป็น ที่จะช่วยทำให้การใช้ชีวิตนั้นอยู่ได้ เงินทองเป็นตัวขับเคลื่อน ในการใช้ชีวิต ทำงานหาเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยต่างๆที่จำเป็น

ซื้อบ้านเพื่อให้มีที่อยู่อาศัย มีที่ซุกหัวนอน ซื้อรถเพื่ออำนวยความสะดวก ในเรื่องของการเดินทาง ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า อาหาร เครื่องมืออุปโภค บริโภคต่างๆที่ต้องใช้ ในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นสิ่งจำเป็น ที่ต้องใช้ เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีความสามารถ ในการจัดซื้อจัดหา ก็ต้องบริหารจัดการเพื่อให้ได้มา

แต่เคยสังเกตุมั้ยว่า ในหลายครอบครัว หลายๆมุมมองในการ ใช้ชีวิตของแต่ละคน ที่ไม่เหมือนกัน ทรัพย์สินสมบัติภายนอก มีมากมายเกินความจำเป็น บ้านที่อยู่อาศัย รถ ข้าวของเครื่องใช้ ซื้อแล้วซื้ออีก ไม่มีความพอดี ซื้อโดยที่ไม่รู้ว่า ควรจะหยุดที่ตรงไหน มีมากมายจนบางครั้ง ก็ดูแลไม่ทั่วถึง

อำนาจ

ตำแหน่ง อำนาจ ชื่อเสียง ลาภยศสรรเสริญ ที่ไม่รู้จักพอ

หัวข้อนี้น่ากลัว เพราะอะไร เนื่องจากพฤติกรรม ของคนหรือกลุ่มคน ที่ไม่รู้จักพอในเรื่อง ตำแหน่งหน้าที่ หลงไหลในอำนาจ ความยิ่งใหญ่ในชื่อเสียงลาภยศสรรเสริญ ซึ่งในสังคมมี คนแบบนี้ค่อนข้างเยอะ คนที่เสพติด ในอำนาจ บารมีที่ได้รับมา ไม่ว่าจะได้มาด้วยอย่างไรก็ตาม

เราจะสังเกตุได้ว่า มักมีหลากหลาย สถานการที่คนเหล่านั้น ได้นำในสิ่งที่มีนั้น ใช้ไปในทางที่ ไม่เหมาะไม่ควร แต่ถ้านำไปใช้ได้ถูกต้อง นั่นย่อมเป็นเรื่อง ที่ก่อเกิดประโยชน์ได้ มากมามายมหาศาล บางคนบอกว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว บางคนชอบที่จะอยู่ใน สถานะธรรมดา เพื่อจะได้ไม่ต้องมี เรื่องที่วุ่นวายหรือ ต้องรับผิดชอบมากมาย จนเกินไป

แต่ก็มีกลุ่มคน ที่ชอบที่จะมีอำนาจ เพื่อแสดงตนว่ายิ่งใหญ่ มากเพียงใด ต้องการที่จะ เป็นยอมรับต่อคนอื่นๆ ในสังคมหรือในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง บางคนถึงกับไม่ยอม ที่จะลงมาจากจุดที่ ตัวเองอยู่เพราะรับ ไม่ได้ที่จะต้องตัวเล็กลง จากที่เคยเป็นคนที่ ยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จัก เคารพนับถือหรือ เรียกได้ว่า พวกจมไม่ลง

เล่นเกมหัวใจ

วงจรความรัก ที่ไม่รู้จักพอ

ผิดหวังในความรัก ไม่ใช่แค่เรื่อง คนสองคนหมดรักกัน แล้วก็ต้องเลิกลากันไป หรือเราไปด้วยกันไม่ได้ เพราะนิสัยที่แตกต่างกันเกินไป ปรับตัวแล้วก็ยังเข้ากันไม่ได้ นอกจากเรื่องนี้นั้น ยังมีอีกเรื่องที่น่าเสียใจ และเจ็บปวดมาก และทำให้ความรัก ไปต่อไม่ได้นั่นคือ การหลงเข้าไปอยู่ในวงจร ของความรักที่ไม่รู้จักพอ

วงจรที่หลงเข้ามา โดยบางคนรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง ซึ่งมันเป็นความรัก ความต้องการที่ไม่ได้มี แค่เราสองคน มันเกิดขึ้นได้กับคน ที่มีรักที่ไม่คิดที่จะหยุด หรือพอแค่คนๆเดียว เป็นความรักที่ตอบสนองความต้องการ ของตัวเองล้วนๆ ความต้องการที่มีมาก มีคนเดียวไม่พอ ต้องการไปเรื่อย

ซึ่งจริงๆแล้ว เรื่องของความรัก จำเป็นจะต้องให้น้ำหนัก ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ความพึงพอใจ และความต้องของ คนสองคนเป็นสิ่งที่สำคัญ และก็น่าจะเพียงพอ แต่มันจะไม่มีผล หรือความสำคัญ กับคนไม่รู้ค่าของมัน เมื่อความความรัก ถูกมองว่าเป็นเหมือนเครื่องมือตอบสนอง ความต้องการ แค่ฝ่ายเดียว มันจึงเป็นการเริ่มต้น ที่ต้องไปเจอกับจุดจบ ที่เจ็บปวด

ส่งท้าย

ความต้องการของคน ที่ไม่เคยเพียงพอ ต่อสิ่งที่พึงได้ ในชีวิต มัวเมากับอำนาจ ต้องการเงินทองมากมาย ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ซื่อสัตย์ต่อความรักที่มีค่า ไม่เคยเพียงพอ ต่อสิ่งที่ได้มา และพยายามที่จะขวนขวาย ให้ได้เพิ่มขึ้นอีก หรือไม่ก็พยามยามกอด สิ่งที่มีอยู่ให้แน่นที่สุด ไม่คิดที่จะปล่อยวางเพื่อคนอื่น

ความต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพียงแต่ว่า มันจะต้อง ไม่ส่งผลกระทบ ให้คนอื่นต้องเดือดร้อน ความมัวเมาลุ่มหลง โดยไม่คิดที่จะสนใจถึงคนอื่น ไม่สนใจความถูกต้อง ไม่สนใจว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนควรละเลิก ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ควร ที่จะกระทำ ลองกลับมาคิดใคร่ครวนดูใหม่ได้เสมอว่าเราเป็นแบบนั้นหรือไม่

ลองคิดถึงคนอื่นที่เกี่ยวข้อง นึกถึงใจเขาใจเรา เพื่อเป็นการไม่ทำร้ายกันเอง และไม่เป็นการนำพา ซึ่งความไม่สงบสุข ในสังคม เกิดมาหนึ่งชีวิต ลองคิดถึงคนอื่นบ้าง นอกเหนือจากการคิดฝักใฝ่ แต่เรื่องของตัวเองอย่างเดียว การช่วยเหลือพึ่งพากัน ในสังคม ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น ดังนั้นหยุด และลองมองคนข้างๆว่า เค้าเหล่านั้นได้รับผลกระทบ จากการกระทำของเราเป็นอย่างไร

 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทำไมต้องออกกำลังกาย เอาชนะความขี้เกียจเพื่อสุขภาพที่ดี

0

ทำไมต้องออกกำลังกาย

ทำไมต้องออกกำลังกาย มากมายหลาย บทความที่อธิบาย ไว้อย่างชัดเจนว่า ทำไมการออกกำลังกาย จึงมีความสำคัญต่อ การดำรงค์ชีวิตของ คนเราในทุกๆวันนี้ ประโยชน์ที่ได้ จากการออกกำลังกาย มีมากมาย แต่สิ่งที่ผู้เขียนนั้น หลงไหลในการออกกำลังกาย คือ เพื่อสุขภาพเป็นหลัก เป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้ต้องบังคับตัวเอง ให้ออกกำลังกาย ให้เป็นกิจวัตร

เพราะอะไร เนื่องจากเห็น ความเปลี่ยนแปลง จากผลของการตรวจสุขภาพ ที่ได้ตรวจเป็นประจำทุกปี เมื่อเริ่มมีการออกกำลังกายแบบสม่ำเสมอ ติดต่อเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปี แล้วกลับไปรับการตรวจใหม่ อีกรอบในปีถัดไป ปรากฎว่าผล ของการตรวจทุกอย่างกลับมาสู่ กลไกความปกติของร่างกาย ที่ควรจะเป็น เรียกได้ว่า หน้ามือเป็นหลังมือ เลยทีเดียว

ทำไมถึงมั่นใจว่ าเป็นเพราะการออกกำลัง เป็นสิ่งที่ช่วยให้สุขภาพ ของร่างกายนั้นดีขึ้น เพราะว่าตลอด ระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาสิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ การบังคับตัวเอง ให้ออกกำลังเป็นประจำ ส่วนเรื่องอื่นแทบจะ ไม่ปรับเปลี่ยนเลย โดยเฉพาะเรื่อง อาหารการกิน ยังเป็นลักษณะแบบเดิม และที่สำคัญ เครื่องดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์ ของหวาน ของมัน ยังรับประทานเหมือนเดิม แต่แค่รู้สึกว่าความต้องการ จะกินนั้นมันน้อยลง แค่นั้นแต่ไม่ได้งดหรือหยุดทาน

เจ็บป่วย

มีคำพูดที่กล่าวไว้ว่า ” คนเรามีทางเลือก ระหว่าง เลือกที่จะทำร่างกายเจ็บปวดในขณะที่ทำได้ กับ ไม่เลือก รอให้ร่างกายเป็นผู้เลือกให้คุณเจ็บปวด และคุณเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว ” มันคือความจริงอย่างแรง โดนใจมาก ทุกครั้งที่ต้องการ สร้างแรงบันดาลใจให้กับ เพื่อนหรือคนที่ เรารู้จักมักจะใช้ประโยคนี้ บอกเสมอเพราะมัน

เปรียบเสมือนประโยคคำพูดที่มี พลังอำนาจสูงและสามารถ ที่จะนำไปเป็น สิ่งกระตุ้นในเรื่องการออกกำลังกาย เพื่อดูแลสุขภาพ ของตัวเองให้แข็งแรง

ทำไมถึงมีคนไม่ชอบออกกำลังกาย

ทำไมถึงมีคนไม่ชอบออกกำลังกาย  ทั้งๆที่รู้ว่าการออกกำลังกาย มีคุณประโยชน์มากมาย มีข้อดีที่มันเกิดขึ้นจริง และก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย แต่ก็ยังมีคนที่ ไม่ชอบออกกำลังกาย เหตุผลที่มาอันดับต้นๆ คือ ” ไม่มีเวลา ” ต่อมา ” ไม่รู้จะไปออกกำลังกายที่ไหน ” บางคนบอกว่า “ ไม่มีเพื่อนไปไปคนเดียวมันไม่สนุก ” เป็นต้น

จริงๆมีมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับส่วนบุคคลว่า จะสรรหาเหตุผลอะไร ขึ้นมาเพื่อเป็นข้ออ้าง ในการเอาตัวรอดกับ การตอบคำถามว่า ” ทำไม่ไม่ออกกำลังบ้าง ” ซึ่งถ้ามาคิดกันดีๆ เรื่องเวลาทุกๆคนที่เวลา เท่ากันในการใช้ชีวิต ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือก ที่จะจัดสรรเวลาที่มีอย่างไรในแต่ละวัน หรือแม้กระทั่งสถาน ที่ในการออกกำลังกาย ที่มีมากมายเหลือเกิน

” ” ” ” ” ” ”  ขี้เกียจ ” ” ” ” ” ” “

อันนี้แหล่ะสำคัญที่สุดและเป็นคำที่ใช่ที่สุดของเหตุผลทั้งหมดที่คนที่ไม่ออกกำลังกายพยายามที่จะอธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ออกกำลังกาย ทั้งหมดทั้งมวลก็คือ ” ขี้เกียจ ”

ขี้เกียจ

เอาขนะความขี้เกียจ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกาย

เอาขนะความขี้เกียจ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกาย  อาการแบบนี้จนถึง ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ ทุกๆครั้งที่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อ ออกกำลังกายตอนเช้า หรือแม้กระทั่งต้องไป ออกกำลังกายหลังจาก ที่ทำงานเสร็จ อาการขี้เกียจ มาตลอดเลยจ้า ช่วงที่หนักสุดคือ ตอนเช้านั่นแหล่ะยากมาก

ความรู้สึก อยากนอนต่อ ไม่อยากลุกจากเตียงเลย หรือไม่ก็อ้างกับตัวเองว่า วันนี้หยุดก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยทำพรุ้งนี้ หรือไม่ก็ตอนเย็นก็ได้ แต่สุดท้ายแล้ว ก็พยายามลุกขึ้นมา ออกกำลังกายจนได้ เพราะร่างกายมันเริ่มชิน กับการมีเหงื่อออก หลังจากการออกกำลังกาย ร่างกายจะรู้สึกสดชื่น สมองปรอดโปร่ง ไม่หนักหัว มันรู้สึกกระปรี้กระเปร่า

พอนึกถึงความรู้สึก และประโยชน์ ที่ร่างกายได้รับหลังจาก การออกกำลังกาย มันเป็นเหมือนแรงกระตุ้น ที่อยากจะลุกขึ้นมาเพื่อออกกำลัง อย่างต่อเนื่อง ยอมรับว่าช่วงแรกๆ ในการเริ่มที่จะ ออกกำลังกาย มันจะมีสาเหตุ มากมายที่ทำให้ ไม่สามารถออกกำลังกาย ได้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อไหร่ถ้า เราเริ่มฝึกและทำให้เป็นกิจวัตร อย่างต่อเนื่องมัน ก็จะทำต่อโดยอัตโนมัติ

แต่ถ้าเมื่อไหร่เริ่มต้น ด้วยการทำไปซักพัก แล้วก็หยุดซักพัก ทำๆหยุดๆไม่มีวินัย มันก็จะส่งผลให้ สุดท้ายกลายเป็น หยุดการออกกำลังกาย ไปโดยปริยาย อยากให้ลองทำ ต่อเนื่องถ้าเป็นไปได้ ให้เล่นทุกวันเลือก เวลาที่คิดว่า สะดวกที่สุด แล้วเริ่มต้นได้เลย

โดยการสร้างวินัย ในการออกกำลังกาย อย่างต่อเนื่อง ติดต่อกัน ประมาณ 1-2 เดือน หลังจากนั้น การออกกำลังกาย ก็จะเป็นส่วนหนึ่งใน ชีวิตของคุณไปอย่างอัตโนมัติ สรุปแล้วเมื่อเรานั้นสามารถที่จะกำจัดความขี้เกียจที่เป็นข้ออ้างที่จะทำให้ไม่ออกกำลังกายออกไปได้ นอกจากประโยชน์ นานัปประการที่เราจะได้แล้ว คนรอบข้างก็จะเริ่มทำตามเราไปด้วย

เนื่องจากตัวอย่าง อันใกล้ตัวมันมีให้เห็น ดังนั้นมันเป็นเหมือนจุดเล็กที่เริ่มต้น ในการช่วยกันสร้างสังคม กลุ่มเพื่อนฝูง ที่รักการออกกำลังกาย รักในการดูแลสุขภาพ และใช้เวลาทุกนาทีที่มีค่า มาสร้างสุขภาพที่แข็ง และห่างไกลจากโรคร้าย โดยไม่ต้องพึ่งพา การหาหมอหรือทานแต่ยา ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ

” เลือกประเภทการออกกำลังที่เราชอบ หาเวลาที่เหมาะสม แล้วเรามาเริ่มออกกำลังกายเลย “

ออกกำลังกาย

บทความที่เกี่ยวข้อง

กรอบความคิด พลังความเชื่อที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์

0

กรอบความคิด เป็น พลังของความเชื่อ ที่มีกระบวนการคิดใน การวิเคราะห์ข้อมูล การมองเห็น และการตัดสินใจ ต่อการกระทำที่ จะเกิดขึ้นให้กับบุคคลนั้นๆ ซึ่งโดยส่วนมาก ถ้ามีความเข้าใจ ในกระบวนการของ กรอบความคิดที่มี จะทำให้เกิดแนวคิด หรือวิธีการใน การจัดการกับปัญหา หรือจัดการ กับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ความคิดเปรียบ เสมือนตัวแปร สำหรับเรื่องราวต่าง มุมมองของ คนแต่ละคนนั้น ย่อมมีความแตกต่าง ความเห็นและ การเข้าใจหรือการยอมรับ ความคิดเห็น ที่มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ต่อสถานการณ์ ต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งบางครั้งก็อาจจะ เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมบุคคลเหล่านั้น จึงไม่เข้าใจ หรือไม่ยอมที่จะเข้าใจ

มันไม่ใช่สิ่งที่ แปลกที่ในหมู่ คนที่อยู่ด้วยกัน ในคนหมู่มากนั้น จะมีความเห็น ที่แตกต่างกัน หรือแทบจะหาจุด ที่มาบรรจบกันช่าง ดูยากเสียเหลือเกิน มันต้องทำอย่างไร จึงจะทำให้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นได้รับ การแก้ไข หรือสามารถที่ จะหาทางออกที่ ได้รับการยอมรับ ร่วมกันได้อย่างเสรีและสงบสุข

ก่อนอื่นเรา ต้องทำความเข้าใจก่อน อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ คนเรานั้น บางครั้งทัศนะคติ ความคิดเห็นช่าง แตกต่างกันมากเหลือเกิน ซึ่งบางโอกาศด้วย ความเห็นหรือ ความเข้าใจที่แตกต่าง สามารถนำพา ไปสู่การทะเลาะวิวาท หรือเกิดปัญหา ที่หาทางแก้ไขได้ยากขึ้น จากจุดที่เริ่มต้น ในเรื่องที่คนเรานั้น มีความคิดที่ ไม่เหมือนกัน

ประเภทของ กรอบความคิด ที่ควรทำความเข้าใจ

Growth mindset

ประเภทที่ 1 กรอบความคิดเติบโต (Growth mindset)

ลักษณะของคนในกลุ่มคนกรอบความคิดเติบโต  ในประเภทนี้จะมีคุณลักษณะ ที่รู้ตนเองเสมอว่า ตนเองนั้นสามารถเปลี่ยนแปลง และพัฒนาได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นใน เรื่องทักษะต่างๆ บุคลิกภาพ หรือความสามารถ ซึ่งการเปลี่ยนรวมถึงการพัฒนา สามารถที่จะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยการเรียนรู้ การฝึกฝนที่เต็มไป ด้วยความพยายาม  และความตั้งใจทำ

การให้ความสนใจ ทั้งนี้ในกลุ่มคน ที่อยู่ในกลุ่ม กรอบความคิดเติบโต จึงเป็นกลุ่มคนที่ มีความสนใจ และมักจะเพิ่มแรงจูงใจ ในเรื่องการเรียนรู้ และพัฒนาตัวเอง อยู่ตลอดเวลา ไม่กลัวในสิ่งที่ท้าทายการใช้ชีวิต เพราะมีความเชื่อที่ว่า การท้าทายเป็น การเปิดโอกาศ ให้ชีวิตของเรานั้นได้เรียนรู้ และเติบโตต่อไป

บุคคลที่อยู่ใน กรอบความคิดเติบโต มักจะสรรหาการพัฒนา การแสวงหา ความรู้ใหม่ๆให้ตัวเอง นั้นได้ศึกษา ค้นคว้าอย่างหนัก เพื่อทำให้ตัวเอง ประสบกับความ สำเร็จให้ได้ ไม่ว่าจะ ต้องพยายามมาก น้อยแค่ไหนก็ตาม และมักที่จะ ไม่สนใจกับมุมมอง ของคนอื่นๆที่จะ มองภาพลักษณ์ ของตัวเองนั้น เป็นอย่างไร แต่จะให้ ความสำคัญกับ กระบวนการและ ขั้นตอนในการเรียนรู้มากกว่า

มุมมองของการดำเนินชีวิต บ่อยครั้งที่การ ทดลองในสิ่งใหม่ๆนัั้น ด้วยความที่ยัง ไม่ชำนาญจึงย่อมเจอ ข้อที่ผิดพลาด แต่คนที่อยู่ใน กลุ่มความคิดเติบโตนี้ เมื่อไหร่ก็ ตามที่พบกับ ความผิดพลาด กลับยิ่งเป็น แรงบันดาลใจที่ทำให้ต้อง เพิ่มการพยายามและพัฒนาแก้ไข ให้ดียิ่งขึ้น เปรียบเหมือน ความผิดพลาด กลายเป็นแรงกระตุ้น ให้เกิดการศึกษาและ ค้นคว้าเพื่อการหา หนทางในการแก้ไข

การปรับตัว กลุ่มความคิดเติบโต เป็นกลุ่มคนที่ ปรับตัวได้ง่ายใน ทุกๆสถานการณ์ เนื่องจากจะมีหลัก และวิธีการมอง โดยใช้ความคิด ที่เปิดกว้าง เนื่องจากการ ปรับตัวง่ายเนื่องจาก มีความใคร่รู้ และใฝ่รู้ที่จะเรียนรู้ ในสิ่งใหม่ๆจึงทำให้ การเปิดใจที่จะยอมรับ และพิสูจน์ตัวเองนั้น ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับ กลุ่มความคิดเติบโต

Fixed mindset

ประเภทที่ 2 กรอบความคิดจำกัด (Fixed mindset)

ลักษณะของคนในกลุ่มคนกรอบความคิดจำกัด กลุ่มคนที่อยู่ในประเภทนี้ จะมีความคิดและ มีความเชื่อว่า คุณลักษณะหรือสิ่งที่เป็นอยู่ ทุกวันนี้นั้น ไม่สามารถที่จะ เปลี่ยนแปลง หรือแก้ไขได้ เพราะมันเป็น สิ่งที่ติดตัวมา ตั้งแต่กำเนิด หรือมีความคิดว่า ศักยภาพที่มีนั้น เป็นการรับการ ถ่ายทอดมาจาก พันธุกรรมจึงเป็น เรื่องที่แก้ไขได้ยาก

การให้ความสนใจ กลุ่มคนที่มี กรอบความคิดจำกัด มักจะมีความเชื่อว่า การที่ต้องใช้ ความพยายามนั้น เป็นการสะท้อน ถึงผู้ที่ด้อยความสามารถ เพราะหากเป็นผู้ ที่มีความสามารถแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ ความพยายามใน การทำสิ่งต่างๆที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มีกรอบความคิดจำกัด จึงมักหลีกเลี่ยง ที่จะใช้ความพยายาม ในการจัดการ หรือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ

ดังนั้นในเรื่องของ การเรียนรู้เพื่อ เพิ่มเติมในสิ่งใหม่ๆ หรือเพื่อเป็น การพัฒนาตัวเอง จึงไม่มีความจำเป็น และไม่น่าสนใจ ผู้ที่มีกรอบความคิดจำกัด มักหลีกเลี่ยงการแก้ไขปัญหา มักไม่ค่อยมีความสนใจเพื่อเกิดปัญหาแล้วนั้น จะต้องเข้าสู่กระบวนการการหาหนทางแก้ไข เพราะมีความวิตกกังวลว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้หรือไม่

กลัวการถูกตัดสินว่า ไม่มีความสามารถ ที่เพียงพอ หรือไม่มีความรู้ เนื่องจากไม่สามารถ ที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว ให้สำเร็จได้รวมทั้งมีความวิตก กังวลกับการพิสูจน์ว่า ตนเองมีคุณลักษณะ ที่ดีเพียงพอหรือไม่ หรือมีความสามารถมากน้อย เพียงใด ภาพลักลักษณ์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ กลุ่มคนที่มีกรอบความคิดจำกัด

มุมมองของการดำเนินชีวิต กลุ่มคนที่มีความคิดจำกัด ไม่ชอบเรื่องการทดสอบ เพราะไม่ชอบที่จะอยู่ในจุดที่ต้องถูกประเมิน ในเรื่องของความสามารถ เพราะดูเหมือนกำลังถูกประเมินความฉลาดและความสามารถที่มี ไม่ชอบที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับสถานการณ์ ที่ตัวเองนั้นไม่มี ความมั่นใจต่อ เพราะกลัวความผิดพลาด

รวมถึงไม่มีความชอบ ในเวลาที่เกิดปัญหา มักจะแสวงหา กระบวนการและ วิธีการในการแก้ปัญหา ในแบบง่ายๆ  ไม่ชอบเรื่องความซับซ้อนหรือ ต้องมีการใช้ความพยายาม แต่ถ้าสถานกานณ์ นั้นมันไม่ง่าย กลุ่มคนในกลุ่มนี้ จำเป็นต้องมีแรงจูงใจ ที่มากพอสมควรที่ จะทำให้เกิดแรงจูงใจ ที่จะแก้ไขปัญหา เช่นของรางวัลสำหรับความสำเร็จ เป็นต้น

การปรับตัว เนื่องจากมีความกังวลในเรื่องของความสมบูรณ์แบบในด้านความสามามารถ จึงทำให้การปรับตัว ในสถานการณ์ใหม่ๆนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะต้องอาศัย หลากหลายปัจจัย ที่เป็นแรงผลัก ให้กลุ่มคนที่มี ความคิดนำกัดนั้น เปิดใจที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ

บทส่งท้าย

ในคุณลักษณะของบุคคล ในคนคนเดียวกัน อาจจะมีกรอบของความคิด ที่ผสมกันได้ในบางเรื่อง อย่างเช่น บางคนอาจมี กรอบความคิดเติบโต ในเรื่องของการศึกษา และเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ แต่อาจจะมีกรอความคิดจำกัด ในเรื่องของบุคลิกลักษณะ ซึ่งไม่ใช่ที่แปลกประหลาด ที่จะมีแนวความคิดที่เป็น ในแบบผสมผสาน

ในกระบวนการ ของกรอบความคิด ถือว่าเป็นลักษณะ ของความคิดที่มี ลักษณะการแสดงออกที่ชัดเจนว่า การแสดงออกของคนในแต่ละคนนั้น ทำไมถึงมีความแตกต่าง การเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจ ในจุดยืนของแต่ละบุคคล ที่เบื้องลึกแล้วนั้น มันอาจจะไม่ใช่ปัญหาที่ต้องนำมา ให้เป็นสิ่งที่มองว่า แก้ไขไม่ได้

กรอบความคิดในความเชื่อ ที่แต่ละคนนั้นมี มันเป็นตัวตน ที่ส่งผลให้เกิดพฤติกรรม หรือมุมมอง ในการตัดสินใจ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อบุคคลที่มี ความเกี่ยวข้องกันนั้น มีหลากหลาย การเปิดใจที่จะเรียนรู้และ มีความเข้าใจต่อ พื้นฐานของความคิดที่มี จึงน่าสนใจและน่าศึกษาเพื่อ เป็นการหาทางออกที่ทำ ให้เกิดความเข้าใจ และอยู่ร่วมกันในสังคม

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

โตอย่างมีคุณภาพ และไม่สร้างปัญหาต่อสังคม

โตอย่างมีคุณภาพ และไม่สร้างปัญหา ต่อสังคม เป็นอย่างไร ต้องทำอย่างไร พื้นฐานโครงสร้างที่สำคัญ ในเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อมีมุมมอง และตั้งความต้องการ  เมื่อลูกหลานของเรา เติบโตขึ้นมาแล้ว จะต้องไม่สร้าง ความเดือดร้อน หรือสร้างปัญหา ให้กับสังคม หรือคนอื่นๆ แบบนี้ ก็คงต้องกลับมานั่งคิด กันอย่างจริงจังว่า ต้องทำอย่างไร

ก่อนอื่นต้อง ยอมรับก่อนว่า ในสังคมหรือ วัฒนธรรมของ ของการมีคู่หรือมีครอบครัว การแต่งงานแล้วต่อด้วยการมีลูก เปรียบเสมือนเป้าหมายหลัก ที่ยิ่งใหญ่ สำหรับหลายๆครอบครัว ที่มีความคิดว่า ชีวิตคู่จะเป็นครอบครัวที่ สมบูรณ์แบบก็ต่อเมื่อมีลูก ไม่มีอะไร ที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่สมควร กับความต้องการ ของตัวเองหรือ วัฒธรรมความเชื่อ

แต่สิ่งที่สำคัญเหนือ สิ่งอื่นใดก็คือ ความรับผิดชอบ ต่อสังคมที่บาง สถานะการณ์อาจ ส่งผลกระทบ จากคนในครอบครัว ของเราและเป็นเหตุ ทำให้คนอื่นนั้น ต้องเดือดร้อน หรือรู้สึกไม่สะดวก หรือถูกรบกวน

ปัจจัยพื้นฐานหลักที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อการพัฒนา และ โตอย่างมีคุณภาพ

ปัจจัยพื้นฐานทางครอบครัว ครอบครัว ถือว่าเป็น ปัจจัยพื้นฐานหลัก ในการสร้างค่านิยม ความเชื่อเบื้องต้น แล้วสามารถคิดต่อยอด ในการดำเนินชีวิต หรือตัดสินใจในการกระทำ การอบรมและการสั่งสอน ที่ผู้ใหญ่ส่งต่อ ให้เด็กๆเพื่อเป็นพื้นฐาน ในการใช้ความคิด ถือว่าเป็นสิ่งที่ สำคัญเป็นอย่างมาก

ยกตัวอย่าง เช่น การสั่งสอน ที่ไม่ได้ให้เหตุผล ในการสั่งห้าม แต่เป็นการบังคับ หรือ กล่าวโทษ หรือการดุด่า ที่สร้างความหวาดกลัว มากกว่าการสร้าง ความเข้าใจ ด้วยเหตุผลเดียว คือต้องการให้ เด็กนั้นทำตาม หรือ ให้หยุดการกระทำ ดังกล่าวนัั้นแบบทันทีทันใด โดยไม่คำนึง ถึงเหตุและผล

ห้ามในการกระทำ พฤติกรรม ที่ไม่เหมาะสมที่ไม่ควร จะกระทำในสถาน ที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น สถานที่ที่ไม่ใช่ สำหรับการวิ่งเล่น เมื่อต้องการจะ บอกห้ามมิให้วิ่งเล่น เหตุผลที่แท้จริง ที่เด็กควรที่จะเข้าใจ คือ สถานที่แห่งนี้ ไม่ใช่สำหรับ สถานที่วิ่งเล่น แต่กลับกลาย เป็นบอกเหตุผล กับเด็กที่ไม่สามารถ วิ่งเล่นไม่ได้ เพราะ “รองเท้าที่ใส่อยู่มันลื่น ถ้าจะวิ่งต้อง เปลี่ยนรองเท้า”

tumdaina-โตอย่างมีคุณภาพ-2

การอบรมสั่งสอน การให้ข้อมูลที่ เป็นเหตุและผล ต่อสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นถือว่า เป็นสิ่งที่จำเป็น ครอบครัวต้องเรียนรู้ และเข้าใจว่า เด็กๆจะเรียนรู้และจดจำ จะซึมซับในการกระทำ ทุกๆอย่างที่ได้พบเจอ ครอบครัวจึงมีหน้าที่ และความรับผิดชอบ จะต้องสละเวลา เพื่อสร้างและปลูกฝัง ทรัพยากรบุคคล ที่จะเป็นอนาคต ของโลกให้มีคุณภาพ มากที่สุด

ละเลิกกับความคิดที่ว่า “ยังเด็กอยู่เลยทำอะไรก็ไม่ผิด” “เด็กยังไม่ประสีประสาอย่าใส่ใจ” อย่านำความคิดและการกระทำ  ที่แสดงถึง การปัดความรับผิดชอบ อย่างชัดเจนแบบนี้ โยนให้กับคนอื่นๆในสังคม ที่อยู่ร่วมกันนั้น เป็นฝ่ายที่ต้องเข้าใจ และทำใจยอมรับ กับพฤติกรรมการแสดงออก ที่มองออกว่า ขาดการเอาใจใส่ และอบรมสั่งสอน อย่างจริงจัง จากคนในครอบครัว

tumdaina-โตอย่างมีคุณภาพ-4

ปัจจัยทางการศึกษา เป็นปัจจัยต่อมา ของเด็กๆเมื่อก้าวเข้าสู่ การแสวงหาการเรียนรู้ ด้วยตนเอง โดยที่ไม่ได้มีครอบครัว ที่อยู่ด้วยตลอดเวลา เพื่อคอยอบรม และสั่งสอนในสิ่ง ที่ได้เจอหรือ ได้พบเห็น ดังนั้นการศึกษาจึงจำเป็นจะต้องมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบโจทย์และเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน

องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องและ มีผลต่อการพัฒนาที่ ก้าวหน้าทางการศึกษา ต้องมีคุณภาพเพื่อสร้าง การพัฒนาและ เจริญเติบโตต่อไปได้อย่างมีคุณภาพ

  • บุคคลากรที่เป็นผู้สอน บุคคลเหล่านี้สำคัญ นอกจากความรู้ ที่ได้เรียนรู้ และปฏิบัติจนมีความชำนาญ มีความสามารถ ที่จะนำความรู้ที่มีนั้น ส่งต่อต่อคนรุ่นใหม่ หรือเด็กๆที่รอคอย การเรียนรู้ได้แล้วนั้น ทัศนคติที่มีต่อหน้าที่ ความรับผิดชอบต่อชีวิต และการพัฒนาตลอดเวลา เพื่อเป็นสะพาน ที่เป็นทางเดินให้กับ เด็กๆหรือคนรุ่นใหม่นั้น ได้ใช้ชีวิต และก้าวเดินต่อไปด้วยตัวเองได้ อย่างมั่นคง
  • หลักสูตรการเรียนการสอน ทุกวันนี้โลก เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว วิวัฒนาการ เทคโนโลยีก้าวล้ำ ไม่เคยหยุดนิ่ง ดังนั้นหลักสูตรต่างๆ ที่ใช้สำหรับ การเรียนการสอน จึงจำเป็นจะต้องมีการพัฒนา และปรับปรุงเพื่อให้ ทันสมัยและสอดคล้อง ต่อความต้องการของสังคม เพื่อผู้เรียนสามารถ นำไปปรับใช้ได้ ในชีวิตจริง
  • อุปกรณ์ที่ส่งเสริมการเรียนการสอน เช่น ห้องเรียน บรรยากาศการเรียนการสอน ห้องปฏิบัติการ ห้องศึกษาค้นคว้า ห้องกิจกรรม เป็นต้น  ตามแผนกการเรียนการสอน ในแต่ละสาขา วิชา สถาบันควรที่จะต้อง มีการจัดเตรียมการ และสรรหาเพื่อนำมา ซึ่งการอำนวยความสะดวก ในการสอนต่อผู้เรียน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการเรียนรู้
  • สถาบันการศึกษา องค์ประกอบสำคัญที่มีข้างต้น ทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นได้ ถ้าสถาบันการศึกษานั้นๆ มีการบริหารและ จัดการที่ไม่สมดุลย์ ดังนั้นแนวความคิด ของผู้บริหารที่เป็น เจ้าของสถาบัน การให้ความสำคัญ และความรับผิดชอบ ต่อการจัดการ การศึกษาที่มีคุณภาพ จึงถือว่าเป็นอีกบทบาท ที่สำคัญอีกบทหนึ่งที่ขาดไม่ได้

tumdauna-โตอย่างมีคุณภาพ-3

บทส่งท้าย

ทั้งสองสิ่งนี้ ที่กล่าวถึงถือเป็นปัจจัยพื้นฐานหลัก ที่ควรจะมีการพัฒนา และเปลี่ยนแปลง เพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลง และแก้ไขจากจุดที่เป็นพื้นฐาน ทั้งนี้อาจจะมี อีกหลากหลายมุมมอง ที่มองว่าน่าจะมีมากกว่านี้ ที่ควรจะมีการแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงแต่สำหรับบทความนี้ ขอให้ความสำคัญกับ 2 ปัจจัยหลักนี้ ก่อน

เนื่องจากการแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลง ควรที่จะเริ่มตั้งแต่จุดเริ่ม เพื่อเป็นการแก้ไขในแบบถาวร ไม่ใช่การแก้ไขเฉพาะหน้า ฉะนั้นเมื่อมีการเริ่มต้นที่ดี ก็ย่อมจะเป็นแนวทาง ที่จะทำให้วางแผนและการดำเนินชีวิต สำหรับเด็กๆหรือเยาวชนรุ่นใหม่ ได้เติบโตขึ้นมา อย่างมีคุณภาพ และไม่เป็นภาระหรือปัญหาต่อคนอื่นๆในสังคมที่ต้องอยู่ร่วมกัน

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

จากการทำบันทึก นำไปสู่การเขียนบล็อก

เลื่อนขั้น จากการทำบันทึก ประจำวัน ก้าวสู่การเขียนบล็อกเป็นของตัวเอง ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญ ในการพัฒนาของตัวเอง และเป็นการต่อยอดในการสร้างธุรกิจ เป็นของตัวเอง

การจดและเขียนบันทึก การกระทำพฤติกรรม ในชีวิตประจำวัน เป็นภาพสะท้อนที่ทำให้ เห็นมุมมองต่างๆที่ เกี่ยวกับตัวเองและยังทำให้เห็นถึง ความท้าทายที่ผ่านมา และการสร้างแรงบันดาลใจ ที่เกิดขึ้นในจิตใจของตัวเอง

การเขียนบล็อค เป็นประเภทของการเขียน ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น และในทางเดียวกัน ก็จะเป็นบทที่พิสูจน์ต่อบทความที่เขียน รวมถึงยังจะได้รับการตรวจสอบ การวิพากษ์วิจารณ์ ต่อบาทความจากต่อบุคคลอื่น ในพื้นที่สาธารณะ

บทความบทนี้ เขียนขึ้นเพื่อต่อเนื่อง เรื่องราวจากบทความ ทำธุรกิจอะไรดี ไม่มั่นใจ ? สิ่งนี้แหล่ะธุรกิจของคุณ เพื่อเป็นการอธิบายในด้าน การทำการตลาด ประเภท คู่ค้าธุรกิจผลิตภัณฑ์ออนไลน์ ได้ระเอียดมากขึ้น

โดยทั่วไปการเขียนข้อมูล รายละเอียดส่วนมากจะแนะนำ ในเรื่องการตลาดในธุรกิจประเภทนี้ ในเรื่องของการติดตั้งเว็บไซต์ หรือการสร้างเว็บไซต์ และการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ควรจะเลือกใช้ แต่สังเกตุได้ว่าในจุดที่ สำคัญไม่แพ้กันและ ถือเป็นหัวใจหลัก คือ การเขียน ได้ถูกพูดถึงน้อยมาก วิธีการเขียนต้องเขียนอย่างไร การเขียนเพื่อสร้าง โครงสร้างที่ดีให้กับการขาย ควรเป็นเช่นไร ได้ถูกอธิบายไว้น้อยมาก

งานเขียน

ในบทความนี้จึงขอเน้น และให้ความสำคัญของการเขียน ก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากอะไร ? เนื่องจากการเขียน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำเป็นเฉพาะในด้าน การทำธุรกิจในประเภทนี้เท่านั้น แต่การเขียนยังเป็น ตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนา ในตัวของบุคคลให้เป็นบุคคล ที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นได้

ในเรื่องของความต้องการ ที่จะประสบความสำเร็จ ร่ำรวยมีเงินทองนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ต้องอย่าลืมที่จะ นึกถึงการหาเงินหรือการทำธุรกิจเพื่อ สุขภาพอนามัยที่ดีมีประโยชน์ ซึ่งธุรกิจ คู่ค้าผลิตภัณฑ์ออนไลน์ ประเภทนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ คุณนั้นสามารถที่จะเลือกและไตร่ตรอง ในสิ่งที่คุณนั้นจะเลือก และสามารถแบ่งปันผลิตภัณฑ์ที่ดี และแบ่งปันข้อมูลที่มีประโยชน์ กับบุคคลอื่นเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อสุขภาพที่แข็งแรงและมีชีวิตที่ดีขึ้น

เหนือสิ่งอื่นใด ที่สำคัญคุณจะต้องรับรู้ และให้ความสำคัญกับผู้อื่น อยู่เสมอเพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ ที่จะส่งเสริมเพื่อสรรหาผลิตภัณฑ์ที่ดี และมีคุณภาพ ที่คุณนั้นจะต้องรู้จัก เป็นอย่างดีถึงคุณประโยชน์ที่มี และมีคุณค่าอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นคุณจะเป็นเพียงแค่ตัวแทน ในการขายผลิตภัณฑ์ ที่ไม่มีศักยภาพที่เข้าใจ ในผลิตภัณฑ์และจะทำให้ธุรกิจ ของคุณที่คุณต้องการจะทำ นั้นไม่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง

เริ่มต้นจากการเขียนเพื่อตัวเอง สู่การเขียนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับผู้อื่น

เหตุและผลในการเริ่มเขียนบันทึก ในแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน ซึ่งล้วนต่างเขียนขึ้น เพื่อเก็บบันทึกเรื่องราว ของชีวิตตัวเองในแต่ละวัน และไม่ว่าใครจะเขียนด้วย เหตุผลใดๆก็ตาม สิ่งที่คุณจะได้รับ คือเป็นการเรียนรู้ รวมถึงได้ไตร่ตรองถึงสิ่งต่างๆ และยังคงทำให้การรับรู้นั้น ก่อเกิดความใจที่จะนำพาให้สู่ การเชื่อมโยงกันได้มากขึ้น

ตัวอย่างหนังสือชื่อ “Bullet Journal Method” เขียนโดย Ryder Carroll ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้มีการเขียนที่กล่าวถึง การเขียนบันทึกเรื่องราวชีวิต เป็นบทสั้นๆ แต่มีความหมายไว้ว่า  “Track the Past, Order the Present, Design the Future” ( รับรู้อดีต เปลี่ยนแปลงปัจจุบัน เพื่อวางแผนอนาคต )

บางคนเขียนบันทึกวิธีการรับมือ เมื่อต้องเจอกับความเครียด ต้องเจอกับความกังวลในภาวะ ของการซึมเศร้าต้องทำอย่างไร แต่คุณเคยคิดที่จะลอง เขียนเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำให้เกิด แรงจูงใจหรือสร้างความรู้สึกดี และมีอารมณ์ที่สดใสหรือไม่? การเขียนในลักษณะนี้ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่สร้าง มวลพลังชีวิตได้อย่างมากมายมหาศาล

หรืออาจจะเลือกที่จะ เขียนเกี่ยวความรู้สึกของตัวเอง ความรับผิดชอบที่มี การบริหารการจัดการในชีวิต รวมถึงการวางแผนในอนาคต ความต้องการหรือ สิ่งที่ต้องการที่จะทำในแต่ละวัน โดยทำอย่างต่อเนื่องและทำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปเป็นประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตัวเอง

การเขียนที่จับต้องได้ และมีคุณค่าที่สุดก็คือ การเขียนเรื่องราวของตัวเราเอง

เมื่อคุณรักษาพฤติกรรม ในการเขียนเรื่องราวของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเวลาผ่านไป 2 สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตของคุณ

อย่างแรก คุณจะได้สัมผัสและเข้าใจตัวเองมากขึ้น จะเริ่มมองเห็นตัวเองได้อย่างชัดเจน เริ่มที่จะได้ยินเสียงของตัวเอง ได้ชัดขึ้น และคุณเองจะมองเห็น ถึงสิ่งที่ตัวคุณเองต้องพัฒนา และเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นคุณที่ดีขึ้น หลังจากนั้นความั่นใจก็จะตามมา

อย่างที่สอง คุณจะมีการพัฒนาในเรื่องของ ทักษะการเขียนที่ดีขึ้น ความทรงจำที่ผุดขึ้นมา ตลอดช่วงเวลาการเขียนบันทึก ในการเดินทางของคุณ ทุกๆครั้งของการเริ่มต้นการเดินทาง จะยิ่งสร้างความตื่นเต้นและเร้าใจเมื่อคุณได้นึกถึงทุกครั้ง และคุณเองก็จะเฝ้ารอที่จะสร้างบทความ ของการเดินทางครั้งใหม่ในชีวิตของคุณ ต่อไปอย่างท้าทาย

เมื่อทั้งสองสิ่งนั้น ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลา ในชีวิตของคุณแล้วก็เท่ากับว่า คุณพร้อมที่จะนำทั้งสองสิ่ง ที่เกิดขึ้นนั้นนำมาสร้างเป็นรายได้ทางธุรกิจออนไลน์ได้แล้วเช่นกัน

ลักษณะการเขียนเว็บไซต์นั้นมีความแตกต่างอย่างไร

การเขียนเพื่อลงในเว็บไซต์ ในอินเตอร์เน็ตนั้น มีความแตกต่างจาก เขียนบันทึกประจำวัน หรือแม้กระทั่งการเขียนหนังสือ

ซึ่งตรงกับความคิดของ Marshall McLuhan ที่เขียนไว้ว่า งานเขียนสำหรับเว็บไซต์นั้น จำเป็นจะต้องมีความสอดคล้อง กับวิถีธรรมชาติทางอินเตอร์เน็ต

การเขียนเนื้อหา สำหรับออนไลน์จำเป็นจะต้องมี โครงสร้างที่สอดคล้องกัน

คนส่วนใหญ่ ชอบที่จะเขียนข้อมูล ที่สามารถเข้าใจได้เร็ว เขียนย่อหน้าสั้นๆ เน้นภาพเน้นการเขียนข้อมูล ที่กระชับเพื่อให้คนจำนวนมากนั้นง่ายต่อการอ่าน ดังนั้นบางครั้ง การเขียนข้อความที่ยาว จึงดูเหมือนไม่น่าอ่าน และดูน่าเบื่อ

หัวข้อ

หัวข้อข่าวหรือข้อมูลต้องดึงดูดความสนใจ

ผู้เขียนหรือนักเขียน จะทราบกันดีอยู่แล้วว่า หัวข้อข่าวหรือข้อมูลหลักที่ใช้พาดหัว หรือชื่อของหนังสือ มีความสำคัญที่ช่วย ดึงดูดและกระตุ้นความสนใจของผู้อ่าน

ในบริบทของหัวข้อข่าว ในอินเตอร์เน็ตยิ่ง มีความสำคัญมาก เนื่องจากการเขียน ในรายละเอียดมักจะใช้ย่อหน้า เพื่ออธิบายแบบสั้นๆ เพราะสามารถ ที่จะเขียนตัวอักษร ได้ไม่เกิน 300 คำ ดังนั้นการเขียนพาดหัว ที่น่าสนใจจึงเป็นทั้งตัวกระตุ้นใน เนื้อหาและเป็นการแสดงถึง เรื่องราวของโครงสร้าง บทความน่าอ่าน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริบท ของหน้าเว็บไซต์ที่แสดง บทความที่คล้ายคลึงกัน ชื่อเรื่องและหัวข้อข่าว จึงเป็นจุดแย่งชิง ในความสนใจของผู้อ่าน ดังนั้นเพื่อสร้างความโดดเด่น และดึงดูดผู้อ่านจำเป็นจะต้องรู้จัก ดัดแปลงชื่อเรื่องหรือหัวข้อ ให้น่าสนใจ

คิดและกำหนดคำหลัก

คำหลักที่ถือเป็น คำสำคัญที่จะใช้เขียน และอธิบายถึงเนื้อหา ตัวอย่างเช่น คุณต้องการเขียนบันทึก เรื่องการเดินทาง และจะเขียนเพื่อนำเสนอ ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ คุณจำเป็นจะต้องนึกให้ออกว่า คุณจะใช้คำหลักคำไหน ในการตั้งต้นเพื่อให้ตรง กับผู้อ่าน ที่ต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับ เรื่องการเดินทาง ผ่านทางเว็บไซต์ได้อย่างไร

เช่นเดียวกันกับบทความนี้ “จากการทำบันทึก ก้าวสู่การเขียนบล็อก” ซึ่งเป็นคำหลักที่ใช้สำหรับบทความ ที่คุณกำลังได้อ่านอยู่ ณ ตอนนี้

การเขียนและปรับแต่งเว็บไซต์ ให้ติดอันดับต้นๆในการค้นหาทาง Search Engine

อย่างที่ได้เขียนไปแล้วเบื้องต้น คำหลักที่ใช้ถือเป็น หัวใจสำคัญในการจัดลำดับบทความ ของเราให้ติดอันดับ ในการค้นหาของ Search Engine

เพื่อจะให้ได้ผลที่ดี ควรที่จะเลือกคำหลัก ที่เป็นที่นิยมในระบบ Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณ ปรากฎขึ้นเป็นหน้าแรกๆในการค้นหา

Search Engine เป็นเครื่องมือ ที่ช่วยในเรื่องการค้นหาบทความ และเป็นเครื่องมือ ในการจัดอันดับของหน้าเว็บที่มีประสิทธิภาพ

หากหน้าเว็บไซต์ของคุณ ปรากฎขึ้นเป็นหน้าแรกๆ ในการค้นหาของ Search Engine จะทำให้ได้รับการเข้ารับชม จากจำนวนผู้อ่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะนำพาไปสู่ การสร้างรายได้ที่ดี ในธุรกิจออนไลน์

search engine

ความก้าวหน้าจากการเขียนบันทึก สู่การเขียนบล็อคเพื่อส่งมอบเนื้อหาสู่ผู้อื่น

เมื่อการเขียนของ คุณเริ่มเปลี่ยนแปลงและพัฒนา ไปสู่การเขียนข้อมูลเพื่อนำเสนอเพื่อผู้อื่น คุณจำเป็นจะต้องเขียน เพื่อสร้างจุดสนใจในข้อความและเนื้อหา ของบทความเพื่อนำไปสู่แรงดึงดูด ให้กับบทความของคุณ

อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยน เพื่อให้ตอบสนองและตรงกับความต้องการ ของผู้อ่านเพื่อเป็นการชักชวน ให้น่าสนใจ หรือได้รับความดึงดูดในการอ่าน

การจดบันทึกเรื่องราว เปรียบเสมือนการทำความสะอาดบ้าน เพื่อให้สะอาดและสวยงาม การเขียนบล็อคเปรียบเสมือนการนำเสนออุปกรณ์หลักที่เป็นฐานเพื่อทำให้ ผู้อื่นสามารถที่จะสร้างบ้านได้สวยงามน่าอยู่

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ เมื่อคุณนั้นเริ่มที่จะเขียนข้อมูล หรือเนื้อหา เพื่อนำเสนอทางอินเตอร์เน็ต จำเป็นจะต้องปฏิบัติตามกฎ และเทคนิคของสื่อที่จำเป็นจะต้องใช้

ดังนั้นบล็อค จึงเปรียบเสมือนสนามเด็กเล่น ที่เหมาะสำหรับการพัฒนาทักษะ ในด้านการเขียนได้ดี และเรายังสามารถสร้างรายได้ไปพร้อมๆกันได้อีกหนึ่งทางเลือก ที่น่าสนใจด้วยเช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้อง

Cat & Cow Pose

0

Beginner โยคะอาสนะ ในการสร้าง หลัง ที่แข็งแรง

Cat & Cow Pose

ท่า Cat & Cow Pose 

เป็นการฝึกท่าที่ เชื่อมต่อเนื่อง 2 ท่าของการเคลื่อนไหว ไปพร้อมกับ ลมหายใจเข้าออก ซึ่งจะเป็นการเคลื่อนไหว ที่โดยส่วนมาก มักจะช่วยเพื่อ เป็นท่าบริหารแนว กระดูกสันหลัง ด้วยการเคลื่อนไหว อย่างช้า ตามลมหายใจเข้าออก อย่างสม่ำเสมอ  ซึ่งจะช่วยทำให้ ร่างกายนั้น อบอุ่นขึ้น พร้อมทั้งสร้างความยืดหยุ่น ให้กับแนวกระดูกสันหลัง ได้ดีอีกด้วย

ท่านี้นอกจากจะช่วย ยืดแนวลำตัว ด้านหลัง แนวกระดูกสันหลัง ยังรวมถึง กระดูกต้นคอ ด้านหลัง ก็จะถูกยืดขยาย เช่นเดียวกัน พร้อมทั้งเป็น การช่วยกระตุ้น อวัยวะช่องท้องภายใน ให้ได้รับการเคลื่อนไหวและ ได้รับการบริหาร ไปในตัว นอกจากนี้ท่า Cow จังหวะในการเคลื่อนร่างกาย ยังช่วยกระตุ้น ในการยืดขยายแผ่นอก เปิดช่วงทรวงอกให้ได้รับ การยืดขยาย

การเคลื่อนไหว ตามจังหวะลมหายใจ ทั้งสองท่านี้ จะเป็นการช่วย กระตุ้นการทำงานของไต และต่อมหมวกไตได้ดี และเนื่องจากการเคลื่อนไหวของท่า จะต้องเคลื่อนไหว ตามลมหายใจ จึงทำให้เกิดสมาธิ ที่ต้องจดจ่อ กับการเคลื่อนไหว จึงทำใหจิตใจสงบ และผ่อนคลายจาก ความเครียด รวมถึงช่วย จัดกระดูกสันหลัง ให้ไม่บิดเบี้ยว ได้ดีอีกด้วย

Downward Facing Dog 10

Step 1.
  • เริ่มต้นการวาง ตำแหน่งมือและเท้า ในท่า Table Pose
  • โดยวางแนว กระดูกสันหลัง และกระดูกต้นคอใน แนวปกติ ไม่ก้มคอ หรือเงยหน้า ให้รักษา ตำแหน่งในแนวตรง
  • กระดูกสันหลัง ยังคงเป็นแนวตรง ไม่แอ่นหรือโค้งงอ
  • ฝ่ามือทั้งสองข้าง หันชี้ไปด้านหน้าของเสื่อ
  • หัวเข่าและหน้าแข้ง หลังเท้าวางราบ ติดที่พื้น

cat-cow

Step 2.
  • ลมหายใจออก เคลื่อนสู่ท่าแมว (Cat Pose)
  • โค้งกระดูกสันหลัง ส่งสบักขึ้นหาเพดาน
  • ขมิบก้นกบ หน้าแข้งทั้งสองแนบ ติดพื้นแน่น หลังเท้า พยายาม กดให้ ติดพื้น เพื่อความมั่นคง
  • ปล่อยศรีษะตกสบายๆ

cat-cow

Step 3.
  • เริ่มต้นการเคลื่อนไหว ด้วยท่าวัว (Cow Pose)
  • ลมหายใจเข้า ยกกระดูกรองนั่งขึ้นสูง
  • กดหน้าอกไปด้านหน้า ขยายหัวไหล่ ทั้งสองข้าง ศรีษะผ่อนคลาย หัวไหล่ห่างจากใบหู
  • หย่อนหน้าท้อง ลงหาพื้นเสื่อ
  • เงยหน้ามองเพดาน หรือมองไปด้านหน้า
  • ทำสลับกัน ไปมา ตามลมหายใจ อย่างต่อเนื่องช้าๆ ประมาณ 5-10 ลมหายใจเข้า-ออก

ข้อสังเกตุ

ในสำหรับผู้ที่เริ่มฝึก ข้อควรที่ต้องระวัง แต่ว่าไม่ต้องกังวลมากนัก คือเมื่อเวลาที่ คุณนั้นเงยหน้า ขึ้นมองมองบนในท่า Cow Pose ต้องระวังอย่าง เกร็งคอ แหงนคอมาก จนเกินไป และเมื่อเคลื่อนไหว เข้าสู่ท่า Cat Pose ให้ปล่อยศรีษะ ตกลงพื้น โดยธรรมชาติ ไม่บังคับหรือกดคอ ให้ต่ำ มากจนเกินไป

ที่สำคัญต้องอย่าลืม ที่ต้องผ่อนคลายหัวไหล่ โดยทั่วไป การฝึกในท่านี้ จะเป็นการฝึก ที่ได้รับ การผ่อนคลาย ไม่เกร็งหรือร่างกาย มากจนเกินไป รวมถึง ช่วงเวลาที่เคลื่อนไหว ช่วงแขนต้องเหยียดตึง ไม่งอข้อศอก เพราะการเคลื่อนไหว นั้น จะใช้เฉพาะ ช่วงกระดูกสันหลัง เท่านั้น

สำหรับผู้ที่เคยฝึกโยคะ

เนื่องจากท่าบริหาร กระดูกสันหลังท่านี้ ไม่ได้เป็นอาสนะที่มี ความซับซ้อน หรือท้าทาย อะไรร่างกาย มากมายเหมือนกับ อาสนะอื่นๆ เนื่องจากเป็นอาสนะ ที่ทำให้เกิด การผ่อนคลาย หรือสร้างการเคลื่อนไหว ให้กับร่างกาย แบบนุ่มนวล

แต่ถ้าต้องการให้รู้สึกถึง การเคลื่อนไหวของอวัยวะ ที่ได้รับการยืดขยาย ได้มากขึ้น ในจังหวะที่เคลื่อนไหว ร่างกายเข้าสู่ท่าแมว (Cat Pose) ให้เพิ่มแรงในการ สูบหน้าท้อง โดยการสูบสะดือขึ้นสูง ให้สัมผัสได้ถึง กระดูกสันหลัง ก็จะยิ่งเพิ่มการเคลื่อนไหว ที่ลึกยิ่งขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

Cobra Pose

0

Beginner โยคะอาสนะ ในการสร้าง หลัง ที่แข็งแรง

Cobra Pose

ท่างู Cobra Pose

อาสนะนี้เป็นการฝึก เพื่อการยืดตัวและ ผ่อนคลายแนว กระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นลักษณะ ของการเริ่มต้นฝึก ที่ใช้ในการยืดและ ขยายแนวกระดูก ดังนั้นจึงมีระดับที่ ยังไม่สูงมาก จนเกินไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบริหารและ เตรียมพร้อมให้กับ หลัง ที่ค่อยๆเริ่มฝึก ไปเป็นขั้นเป็นตอน

ซึ่งถึงแม้จะเป็นแค่ จุดเริ่มต้น แต่ก็สามารถ ที่จะนำไปฝึก เพื่อประโยชน์ กับร่างกายซึ่งจะ ช่วยในเรื่องบรรเทา อาการปวดเมื่อยจากการ นั่งทำงานอยู่ หน้าคอมพิวเตอร์ เป็นเวลานานๆ

เปรียบเสมือน การเริ่มเรียน ในสิ่งใหม่ๆที่คุณนั้น เพิ่งได้เรียนรู้ใน ครั้งแรกของชีวิต ดังนั้นการเริ่มฝึก ในสิ่งที่เรายังไม่มีความเข้าใจ ควรที่จะต้องเริ่ม ฝึกตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อการพัฒนา ที่เป็นลำดับ เป็นขั้นเป็นตอน จนไปถึงจุดที่เรียกได้ว่า มีความยาก และซับซ้อน ในบทเรียนอื่นๆต่อไป

เช่นเดียวกับ การเริ่มฝึกโยคะ การเริ่มฝึกในอาสนะ ที่เกี่ยวข้องกับ Backbends เพื่อให้การฝึกนั้น ได้มีการเข้าที่ที่สมบูรณ์แบบ จึงจำเป็นจะต้องฝึก ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อเป็นการบริหาร กล้ามเนื้อหลัง ให้มีความแข็งแรงและ ให้เกิดการเคยชินและ เพื่อเป็นการเตรียม ความพร้อมให้กับร่างกาย ในเข้าสู่อาสนะ ในหมวดหมู่ของ Backbends

การฝึกอาสนะ ที่เกี่ยวข้องกับ Backbends เป็นอาสนะที่ถือว่า มีความท้าทาย และซับซ้อนใน การฝึกโยคะอีกแบบหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยความยืดหยุ่นโค้งงอ ของหลังและ ความแข็งแรง ของกระดูกสันหลัง ที่จะสามารถควบคุม การเคลื่อนไหว ได้อย่างมั่นคง และปลอดภัยตลอดระยะ เวลาในช่วงที่ฝึกอาสนะ

ท่างู 2

Step 1.
  • นอนคว่ำลงบนพื้น
  • เหยียดขาตรง ส่งไปด้านหลัง ความกว้างพอดีสะโพก
  • หลังเท้าทั้ง สองข้างแนบติดพื้น
  • คว่ำฝ่ามือที่พื้น บริเวณใกล้ กับหัวไหล่
  • หนีบข้อศอก ข้างลำตัว
  • ต้นขาทั้งสอง แนบพื้น กดหัวเหน่า ใกล้พื้นมากที่สุด

ท่างู 2

Step 2.
  • หายใจเข้า เหยียดแขน ให้เกือบตรง หยุ่นข้อศอก เล็กน้อย เพื่อยกหน้าออกขึ้น ระดับความสูง ขึ้นอยู่กับกับการเชื่อมต่อ จากหัวเหน่า ที่ติดอยู่กับพื้น
  • กดหัวเหน่า ให้ติดกับพื้น และต้นขาทั้งสอง พร้อมกับ ขาที่แนบติดพื้น ตลอดเวลา กระชับสะโพก แต่ไม่เกร็งจน แข็งเกินไป
  • ยืดหัวไหล่ ทั้งสองข้าง ไปด้านหลัง โดยให้สีข้าง ทั้งสองพองออก ยืดหน้าอกส่วนบน ขึ้นเพื่อให้ เกิดการขยาย
  • เก็บซี่โครง ไม่แอ่นซี่โครง แผ่แผ่นหลัง ให้กว้างออก อย่างเท่าเทียมกัน ตลอดทั้งแนวหลัง
  • ค้างท่า โดยหายใจปกติเข้าออก ประมาณ 10 ลมหายใจเข้าออก ออกจากท่า โดยการวางลำตัว ที่พื้น(ท่าเริ่มต้น)

ข้อสังเกตุ

สำหรับผู้ ที่เพิ่งเริ่มฝึก ไม่ต้องกังวลว่า จะต้องพยายาม ที่จะทำให้การยกตัว นั้นต้องสูงจากพื้น ให้ได้มากที่สุด ให้สัมผัสถึงความ อ่อนตัว และการยืดขยาย ของหลังเป็นหลัก เริ่มฝึกไปเรื่อยๆ โดยการใช้แรงกด จากมือยันที่พื้น เพื่อช่วยในการส่งตัว ดันและส่งหลังนั้น ให้เริ่มมีการยืดตัว และโค้งตัวได้ สูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับ อย่าหักโหมมาก จนเกินไป

และเมื่ออยู่ ในท่าได้แล้ว ให้รู้สึกถึงการอยู่ ในท่าด้วยลมหายใจ เข้าออกที่ปกติ ไม่รู้สึกอึดอัด หรือหายใจไม่ออก เมื่อใดที่เข้าท่า แล้วรู้สึกอึดอัด หรือหายใจไม่ออก แสดงว่าร่างกาย ยังไม่พร้อม ให้ลดความสูง หรือขยับร่างกาย เพื่อหาจุดที่ทำ ให้รู้สึกสบาย เมื่ออยู่ในท่า เพื่อป้องกัน อาการบาดเจ็บ ในระหว่างการฝึก

สำหรับผู้ที่เคยฝึกโยคะ

สำหรับผู้ที่ฝึก มาจนมี ความยืดหยุ่น ของช่วงรักแร้ กระดูกหน้าอก ตลอดจน บริเวณขาหนีบ ที่แข็งแรง ให้ลองฝึก โดยการเดินมือ ไปข้างหน้าเล็กน้อย และใช้แรงจากฝ่ามือ ส่งแขนจนตึง และดันหน้าอก ส่วนบนให้สูงขึ้น จนหงายกระดูก หน้าอก ขึ้นหาเพดานห้อง เพื่อเป็นการช่วยเปิด กระดูกสันหลัง ให้มีการยืดขยาย มากยิ่งขึ้น

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Locust Pose

0

Beginner โยคะอาสนะ ในการสร้าง หลัง ที่แข็งแรง

Locust Pose

Locust Pose (Salabhasana)

เป็นอาสนะที่ ใช้ในการฝึกหลัง อีกท่า เพื่อเพิ่มให้แข็งแรง และเตรียมความ พร้อมที่จะฝึก เพื่อการเข้าสู่การฝึก Backbends  ถ้าสังเกตุจากท่า เมื่อได้เห็น ในลักษณะของ อาสนะนี้ อาจจะมองดู เหมือนว่า ไม่ยากมากมายนัก แต่เมื่อเริ่มฝึก ไปซักระยะ จะรับรู้ได้ถึงกำลัง ของหลังนั้นเริ่มแข็งแรงมากขึ้น การฝึกในท่านี้ ในการพยายามที่จะยกหลัง เพื่อให้ลอยจากพื้นนั้น ค่อนข้างต้องใช้แรง

โดยไม่มีอวัยวะ ในส่วนไหนที่ จะเป็นตัวช่วยดึงหลัง และยกหน้าอก บริเวณด้านหน้า เพื่อให้ลอยขึ้น เหนือจากพื้น ดังนั้นหลัง จึงทำหน้าที่ โดยตรง ซึ่งการฝึกในท่านี้  ให้ใช้ความรู้สึก จากแนว กระดูกสันหลัง เพื่อเป็นการ เกร็งกระชับและ ดึงหลังให้โค้ง เพื่อให้ช่วยหน้าอก ให้ลอยห่างจากพื้น

Locust pose

Step 1.
  • นอนราบ คว่ำหน้าลง ที่พื้น
  • แขนทั้ง สองข้าง วางข้างลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น
  • หมุนนิ้วหัว แม่เท้า เข้าหากัน
  • หนีบต้นขา เข้าด้านใน เกร็งก้นกบ
  • กดหัวเหน่า ให้ติด แนบที่พื้นเสื่อ

Locust Pose

Step 2.
  • หายใจออก ยกลำตัว ส่วนบน ยกศรีษะ แขนและขา ให้ห่างจากพื้น ทิ้งน้ำหนัก ลงที่หน้าท้อง และซี่โครง ส่วนล่าง กระดูกเชิงกราน ด้านหน้า กระชับก้น ส่งปลายนิ้วมือ ไปด้านหลัง ส่งแรง ไปที่ส้นเท้า หมุนหัวนิ้วเท้า เข้าหากัน
  • แขนทั้งสอง เหยียดตึง ขนานกับพื้น ยืดหลังให้ได้ มากที่สุด ดันลำแขน ด้านหลัง ส่งขึ้น หาเพดาน กดกระดูก สะบัก ให้เข้าที่
  • มองตรง ไปข้างหน้า เงยหน้าขึ้น เล็กน้อย ระดับคาง ให้อยู่พอดี กับระดับต้นคอ ไม่เชยคาง มากจนเกินไป หลังคอ ยืดเหยียดตรง ยาว คอไม่ย่น ค้างอยู่ในท่า ประมาณ 10 ลมหายใจ เข้าออก ออกจาท่า ด้วย ลมหายใจ ออก แล้วลดลำตัว ลดขา และแขนลง ที่พื้น

ข้อสังเกตุ

สำหรับผู้ ที่เพิ่งเริ่มฝึก นอกจากจะใช้ เสื่อโยคะแล้ว อาจจะใช้ อุปกรณ์ช่วยเพื่อ ไม่ให้รู้สึก เจ็บ โดยการ ใช้ผ้าผืนเล็กวาง ไว้ใต้บริเวณ กระดูกเชิงกราน ใกล้บริเวณซี่โครง เพื่อกันแรงกด จนทำให้เกิด อาการเจ็บ ในบริเวณดังกล่าว เพราะในขณะ ที่ยกลำตัว และแขน ขา ขึ้นให้ห่างจากพื้นนั้น อวัยวะที่ จะรับน้ำหนัก ก็คือบริเวณ ซี่โครงส่วนล่าง และกระดูกเชิงกราน

ในช่วงแรกๆ อาจจะมีปัญหา เรื่องการยกลำตัว สามารถฝึก โดยใช้ฝ่ามือ เป็นตัวช่วยในการ ยกลำตัวขึ้นก็ได้ จากนั้นค่อย นำมือกลับสู่ท่า ที่ถูกต้อง สำหรับขา สามารถเริ่มฝึก จากการยกสลับ กันไปมา ต่อ 1 ข้างยกค้างไว้ 30วินาที และสลับไปอีกข้าง ค้างไว้ 30 วินาที พอขาเริ่มชิน ก็ยกพร้อมกันทั้งสองข้าง

สำหรับผู้ที่เคยฝึกโยคะ

สำหรับผู้ที่ ฝึกมานาน จนสามารถ ยกลำตัว แขนและขา ให้ลอยจากพื้น ได้จนคล่องแล้ว ลองฝึกในแบบ ที่นำฝ่ามือ ทั้งสองข้างมาประสานกัน ที่ท้ายทอย โดยเมื่อยกลำตัวขึ้น ให้กางข้อศอก ทั้งสองข้างออกให้ กว้างออกไปด้านข้าง เพื่อเป็นการช่วย ยืดขยายในส่วน หน้าอกด้านข้าง และหลังให้ ได้ยืดขยาย และยกลำตัวได้สูงขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

Bridge Pose

0

Beginner โยคะอาสนะ ในการสร้าง หลัง ที่แข็งแรง

Bridge Pose

Bridge Pose (Setu Bandha Sarvangasana)

เป็นท่าที่เริ่ม ต้นฝึกเพื่อที่ จะช่วย เปิดหน้าอก และเป็น การบริหาร เพื่อยืดต้นขา เมื่อคุณอยู่ ในท่าในการฝึก แขนและขา ของคุณ จะเชื่อม เข้าหากัน และเป็นจุดมั่น ที่ทำให้เกิด การโค้งของ ร่างกายที่ลึกขึ้น หรืออาจจะ ใช้อุปกรณ์ที่ ช่วยทำให้ การฝึกนั้นง่ายขึ้น เช่น Block

ท่า Bridge Pose เป็นอาสนะ ที่ใช้ฝึกเพื่อ เปิดหน้าอก และ หัวใจให้ ได้รับการยืด ขยายได้ดี พร้อมทั้งยัง ได้ยืดช่วง กระดูกสันหลัง กระดูกต้นคอ ข้อต่อสะโพก (ข้อต่อ สะโพกด้านหน้า)

การฝึกใน ท่านี้เนื่อง จากระยะของ หัวใจที่อยู่สูง กว่าศรีษะ การอยู่ใน ท่าจึงสามารถ ที่จะอยู่ ได้ไม่อึดอัดมากนัก และถ้าฝึก ในท่านี้เป็น ประจำจะสามารถช่วย ในเรื่อง บรรเทา ความเครียด ความเมื่อยล้าของ ร่างกาย ความวิตกกังวล อื่นๆที่เกิดขึ้น

รวมถึง ยังช่วยใน เรื่องอาการ นอนไม่หลับ หลับยาก หรือหลับไม่สนิท และยังช่วย รักษาอาการซึมเศร้า เบื้องต้น ได้ด้วย ท่าสะพานโค้ง ที่ใช้เรียกใน แบบภาษาไทย ท่านี้ยังช่วย ในเรื่องที่ทำให้ จิตใจ นั้นสงบ นอกจากนั้น ยังรักษา ผู้ที่มีอาการ โรคหอบหืด ได้อีกด้วย

ท่าสะพานโค้ง ยังช่วยกระตุ้น อวัยวะภาย ในช่องท้อง และต่อมไทรอยด์ ได้ดี กระตุ้นใน เรื่องการย่อยอาหาร ที่ดีขึ้น และช่วยควบคุม การเผาผลาญพลังงาน ในร่างกาย ให้สมดุล และเนื่องจาก ลักษณะการฝึก ยังฝึกในเรื่อง การยืดขา และยืดไหล่ดังนั้น จะช่วยสร้าง ความกระปรี้กระเปร่า ให้กับผู้ที่ต้อง ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งวันให้ได้รู้สึก ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

Bridge Pose 1

Step 1.
  • เริ่มต้นด้วย นอนหงายลงบนเสื่อ  งอเข่า เท้าทั้งสอง วางที่พื้น
  • เหยียดแขนตึง ปลายนิ้วมือแตะ บริวเณส้นเท้า ฝ่ามือวางที่พื้น
  • ศรีษะวางราบ ที่พื้นเสื่อ
  • หายใจออก กดเท้าและแขน ยกสะโพกขึ้น ไปหาเพดาน
  • ยกบั้นท้ายขึ้น อย่าบีบก้น หรืองอก้น
  • พยายาม ส่งกระดูกซี่โครง ไปทางหัวเหน่า

Bridge Pose

Step 2.
  • หมุนไหล่ ไปข้างหลัง ประสานมือทั้งสองเข้าห้ากัน
  • ส่งแขนตึง  กางแขนไปตาม พื้นที่ ใต้กระดูกเชิงกราน
  • กดปลายแขน ลงให้แนบพื้น พยายามเอื้อมมือ เพื่อไป แตะส้นเท้า
  • ต้นขา และเท้าต้อง ขนานกัน ไม่เทไปทางใดทางหนึ่ง
  • ค้างท่าไว้ ประมาณ 10 ลมหาย ใจเข้าออก
  • อากจากโดย คลายมือออก วางข้างลำตัว ลดสะโพก และกระดูกสันหลัง วางที่พื้น

ข้อสังเกตุ

สำหรับ ผู้ที่เริ่มฝึก เมื่อมือ ทั้งสองข้าง ประสานกัน เรียบร้อยแล้ว เมื่อไหล่ม้วนลง มาข้างใต้ลำตัวแล้ว อย่าพยายาม ดึงไหล่ออกจาก หูแรงเกินไป ซึ่งจะมี ผลทำให้คอตึง แล้วจะเกิด อาการบาดเจ็บได้ ให้ใช้วิธีการ ยกส่วนบน ของไหล่ขึ้น แล้วดันสะบัก เข้าด้านใน แยกออกจาก กระดูกสันหลัง เพื่อทำให้ สามารถเดินมือ เข้าไปใกล้ส้นเท้า ได้มากยิ่งขึ้น

สำหรับผู้ที่เคยฝึกโยคะ

สำหรับ ผู้ที่เคย ฝึกท่านี้ ลองเพิ่ม การยืด โดยเมื่ออยู่ใน ท่าเรียบร้อยแล้ว ให้ยกส้นเท้า ขึ้นจากพื้น แล้วดันกระดูก ซี่โครงขึ้น ให้ใกล้ กับหัวเหน่าเล็กน้อย ดันก้นกบขึ้นสูง แล้วคงตำแหน่ง การยกกระดูกซี่โครงไว้ เช่นเดิม แต่ให้ลดส้นเท้า วางไว้ที่พื้น เป็นการขยับ ไปมาเพื่อให้ เกิดการยืดขยายที่ดีขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้อง