การ ฝึกสติ เพื่อปัญญาสมัยใหม่: เรียนรู้จากการสอนของ เล่าจื๊อ เรื่องการเปลี่ยนแปลงและความทนทาน

Laozi เป็นนักปรัชญาจีนและผู้ก่อตั้งของศาสนา Taoism ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตศตวรรษ หนังสือที่เป็นหลักในการสอน Taoism คือ Tao Te Ching ซึ่งประกอบด้วยบทกวีที่เต็มไปด้วยคำแนะนำในการ ฝึกสติ เพื่อการดำเนินชีวิตอย่างดี หลักการใน Taoism เน้นความสำคัญของการดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติและการค้นหาความสมดุลในทุกด้านของชีวิต

Tao Te Ching เป็นหนังสือพื้นฐานในศาสนาและปรัชญาจีน มีผลต่อหลายศาสนาและปรัชญา ไม่ว่าจะเป็น Confucianism, Buddhism และแม้แต่ปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ การสอนเกี่ยวกับธรรมชาติของจักรวาลและวิธีการดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์มีความสำคัญตลอดเวลา

การสอนใน Tao Te Ching นั้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและความอดทนเป็นสิ่งที่มีค่ามากในโลกปัจจุบัน เมื่อเราต้องเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรคทั้งในการใช้ชีวิตส่วนตัวและการใช้ชีวิตในการทำงาาน การสอนนี้ส่งเสริมให้เรายอมรับการเปลี่ยนแปลงและหาความสมดุลในช่วงวุ่นวายของชีวิต การสอนใน Tao Te Ching สอนเราว่าการยอมรับและการปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจะทำให้เราอยู่รอดได้ในโลกใบนี้

ลาอัจีขี่ม้า
ลาอัจีขี่ม้า

∗∗∗∗∗♥♥♥♥ 1 ♥♥♥♥∗∗∗∗∗∗

“ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติและอาจจะเกิดขึ้นโดยที่เราอาจไม่ต้องการ อย่าต่อต้านมันเพราะจะทำให้เกิดความเจ็บปวด ปล่อยให้ความเป็นจริงเป็นจริง ให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ” (Tao Te Ching, บทที่ 74)

คำพูดนี้เตือนเราว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนประกอบที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเราควรพยายามยอมรับมันแทนที่จะต่อต้าน ในการเปลี่ยนแปลงจนนำไปอาจต้องมีการปรับตัว, นี่อาจหมายถึงการยอมรับว่าถึงการสิ้นสุดของความสัมพันธ์หรือต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องงาน, หรือการปรับตัวกับสถานการณ์การใช้ชีวิตใหม่หรือเงื่อนไขของสุขภาพที่ต้องรับรู้และต้องปรับตัวอย่างเข้าใจ

∗∗∗∗∗♥♥♥♥ 2 ♥♥♥♥∗∗∗∗∗∗

“เมื่อผู้นำที่ดีที่สุดทำงานของตนเสร็จสิ้น, คนเป็นไปว่า ‘เราทำได้เอง'” (Tao Te Ching, บทที่ 17)

คำพูดนี้เน้นความสำคัญของความอดทนและการปรับตัวในผู้นำหรือพี่ที่ต้องอยู่กับความรับผิดชอบ – ผู้ที่สามารถช่วยผู้อื่นให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่รับเครดิตสำหรับความสำเร็จของพวกเขา ในสถานการณ์ที่ทำงานหรือทีม, ผู้นำที่แข็งแกร่งอาจช่วยเพื่อนร่วมงานให้มีความรับผิดชอบกับโครงการและเติบโตในบทบาทของพวกเขา

∗∗∗∗∗♥♥♥♥ 3 ♥♥♥♥∗∗∗∗∗∗

“ธรรมชาติไม่เร่งรีบแต่ทุกสิ่งก็ถูกดำเนินไป” (Tao Te Ching, บทที่ 37)

คำพูดนี้เชิญโน้มน้าวให้เราฝึกความอดทนและไว้วางใจในจักรวาลธรรมชาติ ไม่ว่าเราจะพยายามทำตามเป้าหมายส่วนตัวหรือจะผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบาก, เราสามารถใช้ความอดทนเพื่อทำตัวเพื่อให้มุ่งเน้นในปัจจุบันและเชื่อมั่นว่าความคืบหน้าจะมาถึงได้เมื่อถึงในเวลาของมัน

∗∗∗∗∗♥♥♥♥ 4 ♥♥♥♥∗∗∗∗∗∗

“ผู้ฉลาดทำการปรับตัวตามสถานการณ์, เหมือนน้ำที่ปรับรูปร่างตามพาชนะ” (Tao Te Ching, บทที่ 8)

คำพูดนี้ต้องการให้เราเกิดความยืดหยุ่นและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง, เหมือนน้ำที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างให้เข้ากับภาชนะใดๆ ก็ได้ ไม่ว่าเราจะเผชิญกับโอกาสใหม่หรืออุปสรรคที่ไม่คาดฝัน, เราสามารถใช้ความอดทนของเราเพื่อปรับแผนของเราและหาทางไปข้างหน้าได้

∗∗∗∗∗♥♥♥♥ 5 ♥♥♥♥∗∗∗∗∗∗

“การเดินทางหลายพันไมล์เริ่มต้นด้วยการเดินไปขั้นตอนแรก” (Tao Te Ching, บทที่ 64)

คำพูดนี้เตือนเราว่างานที่ยากหรือซับซ้อนที่สุดก็สามารถปฏิบัติได้หนึ่งขั้นตอนที่เล็กเล็กน้อยในครั้งเดียว เช่นการแบ่งงานใหญ่เป็นงานย่อยๆ หรือการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ด้วยแนวคิดขั้นตอนเล็กๆ ของความคืบหน้าเป็นเรื่องสำคัญ

∗∗∗∗∗♥♥♥♥ 6 ♥♥♥♥∗∗∗∗∗∗

“เมื่อเราปล่อยมือจากสิ่งที่เราเป็น เรากลายเป็นสิ่งที่เราจะเป็น” (Tao Te Ching, บทที่ 44)

คำพูดนี้แนะเราให้ปล่อยสิ่งที่ผูกขัดตัวตนเราและเป็นตัวกำหนดทางในชีวิต เพื่อให้เราก้าวไปสู่สิ่งที่เราอาจจะไม่เคยคิดถึง ในการปฏิบัติ, นี่อาจหมายถึงการปล่อยพลังงานความเชื่อและจำเป็นหรือคาดหวังในตัวเราเอง, หรือยอมรับประสบการณ์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงตัวตนของเรา

∗∗∗∗∗♥♥♥♥ 7 ♥♥♥♥∗∗∗∗∗∗

“ตอบสนองอย่างมีสติต่อการปฏิบัติอย่างไม่มีสติ” (Tao Te Ching, บทที่ 41)

คำพูดนี้แนะแนวทางให้เราฝึกความอดทนต่อการปรับตัวเมื่อเผชิญกับการดูถูกหรือไม่ยุติธรรม แทนที่จะตอบโต้โดยฉับพลันหรือรู้สึกของเข้าเกินกว่าความจริง, เราสามารถใช้ปัญญาภายในของเราเพื่อตอบสนองอย่างมีเหตุผลและเป็นเจ้าของตัวเราเอง

∗∗∗∗∗♥♥♥♥ 8 ♥♥♥♥∗∗∗∗∗∗

“ในโลกไม่มีสิ่งใดอ่อนแอและเบาบางเหมือนน้ำ แต่เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่แข็งแกร่งและแข็งแกร่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถเทียบเท่ามันได้” (Tao Te Ching, บทที่ 78)

คำพูดนี้เน้นความแขนกร่งของน้ำและความอดทนของมนุษย์ในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบาก แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นสิ่งที่ยากลำบาก, แต่เราสามารถใช้ความแข็งแกร่งของเราในการต่อสู้และต่อต้านสถานการณ์เหล่านั้น

∗∗∗∗∗♥♥♥♥ 9 ♥♥♥♥∗∗∗∗∗∗

“คนที่ดีไม่ทำให้ผู้อื่นเป็นทาส ผู้นำที่ดีไม่ทำให้ผู้อื่นมีเอกฉันท์ ผู้ที่ยอมรับธรรมชาติเหมือนเป็นตนเองไม่เคยพลาดไปในการเปลี่ยนแปลง” (Tao Te Ching, บทที่ 39)

คำพูดนี้เน้นความเท่าเทียมของมนุษย์และความสำคัญของการยอมรับการเปลี่ยนแปลง ในการปฏิบัติ, นี่อาจหมายถึงการให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการแบ่งปันอำนาจ, การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ, และการเข้าใจว่าเราไม่เคยเป็นคนเดิมตลอดเวลา

∗∗∗∗∗♥♥♥♥ 10 ♥♥♥♥∗∗∗∗∗∗

“การเริ่มต้นใหม่ในชีวิตมักจะเป็นการสิ้นสุดที่เจ็บปวด แต่การสิ้นสุดที่เจ็บปวดก็เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่สดใส ลองมองไปที่ต้นไม้ที่แตกใบอ่อนเมื่อฤดูใบไม้ผลิ เมื่อใบเก่าต้องร่วงออกมาก่อน จะเห็นว่านั่นเป็นขั้นตอนที่เจ็บปวดแต่ก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการเติบโตของต้นไม้” (Tao Te Ching, บทที่ 14)

คำพูดนี้เน้นถึงความสำคัญของการยอมรับการเปลี่ยนแปลงและการอดทนในการเผชิญกับสิ่งที่ยากลำบาก การตัดสินใจที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอาจจะทำให้เราต้องทำลายสิ่งที่เรารักหรือสิ่งที่คุ้นเคย, แต่เราสามารถเห็นว่าการทำเช่นนี้อาจจะเป็นขั้นตอนสำคัญในการเติบโตและเรียนรู้ในชีวิตของเรา และอาจช่วยให้เราพบว่ามีโอกาสใหม่ๆ และความสำเร็จในอนาคตที่ดีกว่าอยู่ข้างหน้า

ลาอัจี: การสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงและความอดทนและฝึกสติ

การสอนของ Laozi มีความสำคัญเท่าเดิมกับในอดีตหลายศตวรรษ ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ คำพูดของเขาเสนอแนวทางสำหรับผู้ที่ต้องการมีชีวิตที่สอดคล้องกับจักรวาล ผ่านการเน้นความสำคัญของความอดทนและการปรับตัว เขาสอนให้เราเห็นว่า แม้เผชิญกับอุปสรรคเราก็ยังมีพลังในการพัฒนาและหาความสมดุล

10 คำพูดของ Laozi นำเสนอแผนที่ช่วยในการนำทางผ่านความท้าทายในชีวิตอย่างมีศิลปะและปัญญา ตั้งแต่การมีความสำคัญของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ไปจนถึงความสำคัญของการปล่อยวางอดีต ทุกคำพูดให้เราได้เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับการไหลของจักรวาล

เมื่อเรายอมรับการสอนของ Laozi เราจะเปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเติบโตและการพัฒนาของเรา เราจะเรียนรู้ที่จะหาพลังในช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงและสร้างความอดทนเมื่อเผชิญกับอุปสรรค เราจะรู้เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัว แต่เป็นโอกาสสำหรับการเติบโต

โดยจิตวิญญาณของ Laozi เราจะรับรู้พลังของการเปลี่ยนแปลงและความสำคัญของชีวิต

บทความที่เกี่ยวข้อง

ความสัมพันธ์ กับ อารมณ์ – และวิธีการจัดการ

ความสัมพันธ์ เปรียบเสมือนของขวัญหนึ่งชิ้นที่น่าตื่นเต้นและน่าค้นหา แต่ก็สามารถเป็นเรื่องที่ท้าทายในความรู้สึกห้วงอารมณ์ โดยเฉพาะในช่วงเวลา ที่เราต้องเผชิญกับสถานการณ์ ที่เป็นทุกข์ อันนี้จะทำให้การเชื่อมโยงทางอารมณ์กับคนทั้งคู่เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

นั่นหมายความว่าจะต้องมีการเข้าใจและเห็นใจกัน และต้องสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และเปิดใจกันในการเผชิญหน้ากับความสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในบทความนี้เราจะมาศึกษากันว่า ทำไมการเชื่อมโยงทางอารมณ์ถึงมีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ และรวมถึงเทคนิคเล็กน้อย สำหรับการรักษาความเชื่อมโยงกันอย่างได้ผล

มุมมองด้านสมองวิทยาเกี่ยวกับอารมณ์

ด้านการทำงานของสมองวิทยา ได้เคลื่อนไหวไปอย่างมาก ในการแกะรอยปริศนาเกี่ยวกับอารมณ์ และผลกระทบต่อความสัมพันธ์ วิจัยได้เปิดเผยว่า สมองของเรามีการเชื่อมโยง เข้ากับความสังคม และประสบการณ์อารมณ์ของเราถูกแบ่งปันผ่านการโต้ตอบกับผู้อื่น นักวิจัยด้านสมองวิทยาที่มีชื่อเสียงอย่าง Antonio Damasio ได้ทำการวิจัยอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์และสมอง ในหนังสือของเขา “The Feeling of What Happens: Body and Emotion in the Making of Consciousness” เขาได้สำรวจการทำงานสมองของอารมณ์ และบทบาทสำคัญในการตัดสินใจที่ส่งต่อพฤติกรรมทางและการแสดงทางสังคม

นอกจากนี้การปล่อยฮอร์โมน เฉพาะตามประสบการณ์อารมณ์ต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการรูปร่างความสัมพันธ์ของเรา เช่น ฮอร์โมนออกซิโตซินที่เกี่ยวข้องกับความผูกพันและความไว้วางใจจะถูกปล่อยออกมาเมื่อเรารู้สึกปลอดภัยและได้รับการสนับสนุน ในทางตรงกันข้าม ฮอร์โมนโครติซอลที่เกี่ยวข้องกับความกลัวและความวิตกจริตจะถูกปล่อยออกมาเมื่อเรารู้สึกว่าตนเองถูกขัดจังหวะหรือไม่ได้รับการเชื่อมต่อกับผู้อื่น

มุมมองด้านสมองวิทยาเกี่ยวกับอารมณ์

นักวิจัยด้านการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างคู่ เช่น ดร. ซู จอห์นสัน ได้เน้นความสำคัญของการเชื่อมต่อทางอารมณ์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและทนทาน หนังสือของ Johnson ชื่อว่า “Hold Me Tight: Seven Conversations for a Lifetime of Love” แสดงถึงว่าการขาดการเชื่อมต่อทางอารมณ์ เป็นสาเหตุเหตุราวกับปัญหาความสัมพันธ์ส่วนใหญ่ และเน้นความสำคัญของการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและการเชื่อมต่อทางอารมณ์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและทนทาน

สรุปได้ว่าบทบาทของอารมณ์ ในการสร้างความสัมพันธ์ของเรา ไม่สามารถปฏิเสธได้ และการรักษาระดับความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับคู่ของเรา ในช่วงเวลาที่ท้าทาย นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง วิจัยด้านสมองวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูความสัมพันธ์ ระหว่างคู่ได้เน้นความสำคัญ ของการเชื่อมต่อทางอารมณ์ การสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการสนับสนุนเป็นกุศลในการรักษาระดับความสัมพันธ์ที่ดี โดยเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและสามารถผ่านการทดสอบของเวลาได้โดยการเน้นการเชื่อมต่อ

ความสัมพันธ์ที่ดีต่อการพัฒนาตนเองคืออะไร

ความสัมพันธ์ที่ดีสำหรับการพัฒนาตนเองคือ ความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่รู้สึกได้ว่าตนเองได้รับการพิจารณา ได้รับการฟังและได้รับการประเมินค่า นั่นคือความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่มุ่งมั่น ในการพัฒนาและเติบโตของตนเอง และทำงานร่วมกันเพื่อเอาชนะอุปสรรคและบรรลุเป้าหมายร่วมกัน ความสัมพันธ์ที่ดีไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการขัดแย้ง แต่เป็นการจัดแต่งความขัดแย้ง ด้วยวิธีที่สร้างสรรค์และเคารพกัน

สำหรับผู้มากมาย ความสัมพันธ์เป็นแหล่งการพัฒนาตนเองที่สำคัญ การมีความสัมพันธ์ที่ดีสามารถให้โอกาสให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง และรูปแบบพฤติกรรมของเรา และเติบโตและพัฒนาเป็นบุคคลได้ ความสัมพันธ์ที่ดีสามารถช่วยให้เราเป็นคนที่มี การตระหนักตนเองมากขึ้น มีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น และมีความทนทานมากขึ้น และสามารถให้การสนับสนุนและปลุกใจ ในการบรรลุเป้าหมายของเราได้

ขั้นตอนพื้นฐานที่จะช่วยให้คุณคงความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับคู่ของคุณ

ดังนั้นวิธีการที่จะคงอารมณ์ใกล้ชิดกับคู่ของคุณในช่วงเวลาที่ท้าทายคืออะไร นี่คือบางทิปที่ใช้งานได้จริง

ขั้นตอนคอนกรีตที่จะช่วยให้คุณคงความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับคู่ของคุณ

อยู่ใกล้ชิด – เมื่อคุณอยู่กับคู่ของคุณ พยายามที่จะอยู่ในปัจจุบัน และให้ความสนใจอย่างเต็มที่ วางโทรศัพท์ลง ปิดทีวี และให้ความสนใจของคุณแก่คู่ของคุณ อย่างไม่มีเงื่อนไข แสดงให้พวกเขาเห็นว่าคุณสนใจ สิ่งที่พวกเขาพูดและคุณจะอยู่ที่นั่นเสมอสำหรับพวกเขา

สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ – การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ทางอารมณ์ ปฏิบัติการฟังอย่างใกล้ชิด ซึ่งหมายถึงการให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด กับสิ่งที่คู่ของคุณกำลังพูด และสะท้อนกลับสิ่งที่คุณได้ยินเพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจ ใช้ I statement แทน you statement ซึ่งอาจมองว่ามีการโทษหรือโจมตี และอย่าลืมแสดงอารมณ์และความต้องการของตนเองด้วย

คงอยู่ใกล้ๆกัน – แม้ว่าจะอยู่ห่างจากกันก็ตาม ต้องพยายามที่จะคงอยู่ใกล้ชิดกับพาร์ทเนอร์ของคุณ นั่นอาจหมายความว่าการส่งข้อความ ที่แสดงความคิดถึง หรือกำหนดการสนทนาทางโทรศัพท์หรือวิดีโออย่างเป็นประจำ หรือการหาวิธีอื่นๆเพื่อแสดงให้พาร์ทเนอร์ของคุณรู้ว่าคุณคิดถึงพวกเขา

ปฏิบัติการส่วนกล้ามเนื้อ – Empathy เป็นความสามารถในการใส่ใจต่อผู้อื่น และเข้าใจมุมมองของพวกเขา การฝึกฝนส่วนกล้ามเนื้อนี้ จะช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับคู่ของคุณ และสนับสนุนพวกเขาในช่วงเวลา ที่มีความยากลำบาก พยายามดูสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของคู่ของคุณ และยืนยันความรู้สึกและประสบการณ์ของพวกเขา

ดูแลรักษาสุขภาพของตัวเอง – เพื่อมีความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับพาร์ทเนอร์ของคุณ มันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูแลรักษาสุขภาพอารมณ์ของตัวเอง เช่น การออกกำลังกาย การสำรวจใจหรืองานอดิเรกที่นำความสุขให้กับคุณ นอกจากนี้ยังหมายถึงการกำหนดขอบเขต เมื่อต้องการและการสื่อสารความต้องการ และความรู้สึกของคุณกับพาร์ทเนอร์ของคุณ

เป็นผู้ให้กำลังใจและเห็นใจในช่วงเวลาที่ยากลำบาก  – ช่วงเวลาที่ท้าทายอาจทำให้เรารู้สึกตึงเครียด และมีอารมณ์สุดๆ และบางครั้งอาจจะเกิดความโกรธ หรือไม่อดทนต่อพาร์ทเนอร์ของเราได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือจำไว้ว่าทุกคน มีวิธีการประมวลผลอารมณ์ต่างๆ ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราควรเข้าใจและสนับสนุนพาร์ทเนอร์ของเราด้วยความอดทนและความเห็นใจ พยายามเข้าใจและช่วยเหลือพาร์ทเนอร์ของเรา ให้พื้นที่และเวลาที่พวกเขาต้องการเพื่อการประมวลผลอารมณ์ของตนเอง

ในสรุป การมีความสัมพันธ์ที่มีอารมณ์ร่วมรักษาความสัมพันธ์ที่เป็นสุขภาพดี โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีความเครียดและความไม่แน่นอน โดยการเป็นปัจจุบัน สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ความเชื่อมั่น ปฏิบัติด้วยความเห็นอกเห็นใจ ดูแลตนเอง อดทนและเห็นอกเห็นใจ และค้นหาความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น คุณสามารถเป็นผู้มีอารมณ์ร่วมกับพาร์ทเนอร์ของคุณและสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและทนทานขึ้น จำไว้ว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีสุขภาพดีต้องใช้ความพยายามและความตั้งใจ แต่ผลตอบแทนก็คุ้มค่ามาก โดยการทำงานร่วมกันและสนับสนุนกัน คุณและพาร์ทเนอร์ของคุณสามารถทนต่อสาธารณภัยใด ๆ และออกมาแข็งแรงและเชื่อมต่อกันมากกว่าเดิม

บทความที่เกี่ยวข้อง

หมอนข้าง กับประโยชน์ที่คุณควรรู้

0

“หมอนข้าง” อุปกรณ์เสริม บนเตียงนอน ที่มีประโยชน์ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ  ในเมื่อการนอนหลับ เป็นเรื่องที่สำคัญ และการหลับอย่างมีคุณภาพ ถือว่าเป็นเรื่องที่ สำคัญมากขึ้นไปอีกขั้น สำหรับทุกๆคน จริงมั้ยคะ คนเราทุกคน ทำงานในแต่ละวัน ผ่านเรื่องเครียดๆมากมาย สมองถูกใช้งานอยู่ตลอดเวลา เมื่อหมดวันลง อาการเหนื่อยล้าก็ตามมา

อาการเหนื่อยล้า ที่เกิดขึ้น การนอนหลับ คือ กิจกรรม ที่ทำให้ร่างกาย และสมองได้พักผ่อน อย่างเต็มที่ และการนอนหลับ จะช่วยทำให้ อาการเหนื่อยล้า ต่างๆนั้นทุเลาลง คุณเชื่อหรือไม่ว่า การใช้หมอนข้าง เป็นอุปกรณ์ในขณะที่ นอนหลับนั้น มีประโยชน์ ที่สามารถ ทำให้ช่วงเวลา ในการนอน ของคุณนั้น  ได้ผ่อนคลายอย่างจริงจัง และสบายตัวมากยิ่งขึ้น

หมอนข้าง 1

ประโยชน์จาก “หมอนข้าง” ที่คุณควรรู้

กอดหมอนข้างช่วยจัดท่านอน ช่วยจัดระเบียบร่างกาย ในขณะที่กำลังหลับ ให้ถูกต้อง เคยสังเกตุกัน มั้ยคะว่า ในหลายครั้ง ที่ตื่นนอนขึ้นมา รู้สึกเหมือน ร่างกายเกิดการกดทับ จากส่วนใดส่วนหนึ่ง ของท่วงท่าในการนอน เมื่อขยับตัวจะรู้สึกเหมือนชา หรือเจ็บตามจุด ที่เกิดการกดทับ เป็นเวลานานๆ ในขณะที่นอนหลับ

ถ้าคุณใช้หมอนข้าง จะบอกว่า มันช่วยได้ จริงๆค่ะ โดยเฉพาะคนที่ชอบ นอนตะแคง และจำเป็นจะต้อง นอนตะแคง ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ด้านซ้ายหรือด้านขวา ก็ตาม ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่มักจะชอบและ มีอาการแบบนี้ แนะนำให้ใช้หมอนข้างนะคะ

จัดร่างกายตอนนอน

เพราะหมอนข้าง จะช่วยให้คุณนั้น นอนตะแคง ได้อย่างสบาย และลดอาการเจ็บปวด หรืออาการชา จากการกดทับได้ดี เพราะบางครั้ง เราอาจจะมีอาการ หลับลึก นอนท่าเดียวทั้งคืน ไม่ขยับหรือ ปรับเปลี่ยนท่านอน หมอนข้างช่วยได้ค่ะ แนะนำว่า ควรรีบหามาไว้ ข้างกายด่วน แล้วคุณจะมีความสุข กับการนอน ได้มากขึ้นกว่า เดิมแน่นอน

กอดหมอนข้างช่วยเพิ่มความอบอุ่น ให้กับร่างกายและหัวใจ แหม…. อ่านประโยชน์ข้อนี้แล้ว อาจจะมีบางคนขมวดคิ้วแน่ๆ ประโยชน์ข้อนี้ เกิดขึ้นได้จริงค่ะ สาวๆที่ยังไม่มีแฟน หรือยังนอนคนเดียว หรือโหยหา คนที่ต้องการ ให้มานอนข้างๆ นอนคนเดียว ไม่ค่อยได้ หรือสาวที่เพิ่งอกหัก และไม่ชินกับ การนอนคนเดียว

นอนคนเดียวไม่ได้

หมอนข้างช่วยได้ค่ะ การนอนกอดหมอนข้าง เลือกตามที่ชอบ แต่โดยส่วนตัว แล้วผู้เขียน ชอบแบบนุ่มๆ ประเภท Body Pillow ลักษณะของหมอนจะใหญ่ ความยาวใกล้เคียง กับร่างกายของเรา เวลากอด มันจะเต็มตัว และกอดได้แน่นดีค่ะ มันรู้สึกอบอุ่น และไม่เหงา มันดีต่อใจมากๆเลยค่ะ

กอดหมอนข้างช่วยคลายความเครียด ประโยชน์ข้อนี้ ตามที่ได้บอกไปด้านบนว่า ความเครียด ที่สะสมมาตลอดทั้งวัน การนอนหลับช่วยได้ และการนอนโดย การกอดหมอนข้าง จะทำให้ร่างกาย และสมองเกิดอาการ ผ่อนคลาย ร่างกายไม่เกร็งกระชับ เมื่อร่างกายผ่อนคลาย สมองก็จะเบาขึ้น ความเครียดที่มีก็จะเบาลง

คลายเครียด

อาการต่างๆ จะเกิดขึ้นตามกัน โดยอัตโนมัติ เพราะการนอนหลับ  เป็นวิธีที่จะสั่งการ ให้ร่างกายนั้น หยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว จากการเดิน การวิ่ง ก้มๆเงยๆ เป็นต้น  และเมื่อร่างกายหยุดการ เคลื่อนไหว เพราะรับรู้ได้ว่าเป็นเวลาที่ต้องพักผ่อน ก็จะเกิดการผ่อนคลาย เมื่อผ่อนคลายความเครียด ที่มีก็จะเริ่มหายไปนั่นเอง

กอดหมอนข้างช่วยลด อาการปวดเมื่อย ลดอาการเหนื่อยล้า 

ทำให้การนอนหลับ ที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น จะทำให้ร่างกาย ที่เราได้ใช้งานมาทั้งวัน ได้พักและเยียวยาตัวเอง บนเตียงนอนหาหมอนข้างซักใบ ในขนาดที่ชอบ วางไว้บนเตียง ตามจุดที่ใกล้กับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ช่วงแขน หรือช่วงขา โดยเฉพาะในส่วนที่ปวดเมื่อย

ถ้ามีอาการปวดเมื่อย ที่ขาเนื่องจากการเดินทั้งวัน ให้ลองนำหมอนข้าง มารองที่ขาในระดับ ที่สูงกว่าศรีษะเล็กน้อย ก็จะทำให้ช่วย คลายอาการปวดเมื่อยได้ดี

ร่างกายผ่อนคลาย

การดูแลสุขภาพ ล้วนมีหลากหลายวิธี ที่เราสามารถ ที่จะสรรหาเพื่อ ให้เหมาะกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับประทานอาหารที่ดี และมีประโยชน์ หรือการออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ให้กับระบบไหลเวียนของเลือด ในร่างกายให้ดีขึ้น

หรือการเลือกอุปกรณ์ส่งเสริม ในเรื่องของสุขภาพ ก็มีให้เลือกมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่หาได้ง่าย และมีประโยชน์อย่างเหลือเชื่อ และไม่อยากให้ ทุกคนมองข้าม หมอนข้างนะคะ ลองเก็บ ไปเป็นทางเลือกหนึ่ง เพื่อช่วยส่งเสริม ในเรื่องการดูแลสุขภาพ ของทุกๆคน รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

เพราะ ชีวิตมันสั้น

0

ความสับสน และวุ่นวาย ต่อการใช้ชีวิต ในแต่ละวัน ของแต่ละคนนั้น มีมากมายเหลือเกิน หลายๆคนเสียเวลา ในความสับสน ที่มีในชีวิต และสร้างคำถาม มากมายเพื่อที่จะหาคำตอบ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และได้พบเจอ จนบางครั้ง ทำให้เสียโอกาส ที่จะสร้างชีวิต ให้มีความสุข กับช่วงเวลาที่มี อยู่หยุดเถอะค่ะ เพราะ ชีวิตมันสั้น ท่องจำเอาไว้ ให้ขึ้นใจนะคะ

คนเราแต่ละคน ในเส้นทางของ การมีชีวิต ที่จะอยู่ยืนยาว หรือจะมีเวลาที่สั้น ล้วนต่างไม่เท่ากัน ไม่มีใครที่ จะตัดสินใจหรือมั่นใจได้ว่า คนเราแต่ละคนนั้น จะล้มหายตากจาก กันไปเมื่อใด ดังนั้นเมื่อเรา รู้อย่างนี้แล้ว มันถึงเวลาแล้ว ที่เราควรเริ่ม ที่จะรัก และให้ความสำคัญ ต่อสิ่งที่เรายังมี อยู่ตรงหน้าให้ได้ อย่างมีคุณค่าที่สุด

เพราะ ชีวิตมันสั้น จงให้ความสำคัญและเห็นคุณค่า

เพราะ ชีวิตมันสั้น 1

จงรักและเคารพ ต่อความรู้สึก และความต้องการของตัวเอง ต้องรู้จักรักตัวเอง และเข้าใจตัวเอง ให้มาก ว่าในชีวิตนี้ มีสิ่งที่ต้องการ และมีความตั้งใจ อย่างไรบ้าง และจงมุ่งมั่นบวกกับตั้งใจ ให้แน่วแน่และลงมือกระทำ อย่าปล่อยให้การตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน ได้หมดวันไปอย่าง ไม่ได้สร้างประโยชน์ อันใดกับตัวเอง

มนุษย์เรามักจะมี ความฝัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ หรือเล็กน้อยเพียงใด ที่คุณคิดไว้ และมีความสนใจ ที่จะเรียนรู้ และมีความต้องการที่จะทำ ให้ลงมือทำเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะคุณจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า คุณนั้นจะไม่มีโอกาส ที่จะได้ทำให้มันได้สำเร็จ อย่างที่คุณนั้นตั้งใจหรือไม่

ค้นหาตัวเองให้เจอ เชื่อมั่นใน ความต้องการ ของตัวเอง มั่นคงและศรัทธา ต่อสัญชาติญาณ และความรู้สึกของตัวเอง และทำทุกอย่างด้วยสติ กับทุกๆเรื่องให้ได้มาก ที่สุดเท่าที่ตระหนัก และรับรู้ได้

เพราะ ชีวิตมันสั้น 2

จงให้ความสำคัญ และตระหนักถึงหน้าที่ ที่มีต่อร่างกาย และสุขภาพของตัวเอง ทรัพย์สินชิ้นแรกที่มีค่ามากที่สุด ที่ติดตัวคุณมาตั้งแต่เริ่ม คือ ร่างกายของคุณ คุณมีหน้าที่ ต้องดูและและเอาใจใส่ และให้ความสำคัญต่อร่างกายของคุณ อย่างไม่สามารถ หลีกเลี่ยงได้

หน้าที่ ในการดูแลร่างกาย ก็คือ การให้ความสำคัญ ต่อสุขภาพของตัวเอง เพราะไม่มีใครสามารถ ที่จะทำแทนตัวคุณได้ คุณเท่านั้นที่ต้องทำหน้าที่นี้ และต้องทำให้ดีที่สุด มอบและนำสิ่งดีๆ ที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรง เพื่อให้ทรัพย์ ที่มีค่าชิ้นนี้ของคุณ

เพราะร่างกาย เปรียบเสมือน อุปกรณ์และเครื่องมือ ที่สำคัญในชีวิต เมื่อคุณมีร่างกายที่ดี และสุขภาพที่แข็งแรง ก็เปรียบเสมือนคุณ มีโอกาสที่มากมาย ต่อการสร้างสิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง

จงให้ความสำคัญ และเห็นคุณค่ากับคนที่คุณรัก และรักคุณ คนทุกคน ได้มาพบเจอกัน และได้มีส่วนร่วม ในการใช้เวลาด้วยกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันคือ ความโชคดี ที่ทำให้คุณ และคนเหล่านั้น ได้มาเจอกัน ไม่ว่าความสัมพันธ์ ที่ได้เกี่ยวข้องกัน นั้นจะเป็นไปในรูปแบบใด ก็ตาม

ทุกๆความสัมพันธ์ ล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ต่อชีวิตของคุณทั้งนั้น คนเหล่านั้นมีคุณค่า ต่อชีวิตของคุณเสมอ จงให้ความสำคัญ และมองให้เห็น คุณค่าของ คนเหล่านั้น เพื่อเป็นการขอบคุณ สำหรับโอกาส ที่นำพาให้คุณ และคนเหล่านั้นได้มาพบเจอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่หยิบยื่นความรัก พร้อมกับความรู้สึก ที่ดีให้คุณ

ความรักและความรู้สึกดีๆ เป็นคุณค่าทางจิตใจ และความรู้สึก ที่ทรงพลัง ไม่สามารถ ที่จะเปรียบเป็นราคา ค่างวดออกมาได้ คณที่รักคุณ และคนที่รักคุณ จงถนอมความรัก และความรู้สึก และการกระทำต่อกัน ให้มากๆ เพื่อวันหนึ่งวันใด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม คุณจะได้ไม่เสียใจ ว่าคุณนั้นได้ทำ ผิดพลาดอะไรไป

เพราะ ชีวิตมันสั้น 3

“คนเรามาพบกันไม่ใช่เหตุบังเอิญ”

เวลาของการเดินทาง ในเส้นทาง ของการใช้ชีวิต ในแต่ละคน มีไม่เท่ากัน แต่เวลาในแต่ละวัน ของเราทุกคนนั้น เท่ากัน มันขึ้นอยู่กับว่า ใครที่จะสามารถบริหาร และจัดการเวลา ที่มีในแต่ละวันนั้น นำมาสร้าง ให้เกิดประโยชน์ ต่อตนเองและคนที่เรารักรอบข้าง ได้อย่างไร และเป็บไปในรูปแบบใด

บางคนเลือก ที่จะใช้เวลา กับคนที่เรารัก ในรูปแบบที่ปิดกั้น และไม่สนใจซึ่งกัน และกัน ทั้งๆที่รักมากเหลือเกิน หรือไม่ก็เลือกการกระทำ ที่สร้างความขัดแย้งกันเอง มันคุ้มค่าแล้วจริงๆหรือ ที่คุณเลือก ที่จะสร้างความทรงจำ ในรูปแบบนั้น  เวลาชีวิตช่างมีค่า ส่งต่อความหวังดี และมอบความรักให้กับตัวเอง และคนรอบข้างอย่างมีคุณค่ากันนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

0

ในชีวิตของคนหนึ่งคน ย่อมต้องใช้ชีวิต และกำหนด เป้าหมายการเดินทาง ของชีวิตของตัวเอง ว่าจะเลือกให้เป็นไปในทางใด จะดี หรือ จะเลว จะมีความสุข หรือจะพบกับความทุกข์ ล้วนเป็นตัวเราเองเท่านั้น ที่ต้องพบเจอ ซึ่งหลังจากที่คุณผ่านพ้น จากปัญหาต่างๆได้ สุดท้ายท้ายสุด คนทุกคนจะพบว่า ตนเองเท่านั้นที่พึ่งได้ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

ความผูกพันธ์ ของสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้อง หรือสัมพันธ์กัน ในสถานะใดก็ตาม แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อคนเรามีปัญหา หรือมีเรื่องที่ต้องการ ความช่วยเหลือ ตัวช่วยที่ดีที่สุด และเป็นการแก้ปัญหา ที่ตรงจุดที่สุดก็คือ ตัวของคุณเอง มันจะเป็นเรื่องลำบาก และซ้ำซ้อนมาก ถ้าคุณยังคงมองหา และต้องการที่จะได้รับความเห็นใจ และความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น อันนี้เรื่องจริง

ทำไม “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” จึงสำคัญ

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน 1

เพราะคนเราทุกคน ต้องรับผิดชอบ และดูแลชีวิตของตัวเอง จะใช้ชีวิตแบบไหน คุณเท่านั้น ที่เป็นคนที่เลือก มีหลายๆคน ที่พบกับความวุ่นวาย และยุ่งยากในชีวิต เพราะรังแต่นำความรู้สึก และความกังวล ในการตัดสินใจ ในการทำอะไร ในชีวิตของตัวเอง ไปผูกติดอยู่กับคนอื่น

เราต้องรู้จักแยกแยะ ว่าสิ่งไหน เป็นเรื่องที่ตัวเอง ต้องรับผิดชอบ เพราะปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนมี และเกิดขึ้นมา จากตัวของตัวเองทั้งนั้น และเมื่อต้นตอของปัญหา มันเกิดขึ้นจากตัวของเรา เราก็สมควรที่ต้องแก้ไข และจัดการมันให้ได้ด้วยตัวของเราเอง

ปัญหาของใคร เจ้าก็ต้อง เป็นผู้จัดการด้วยตัวเอง เพราะในความเป็นจริง ไม่มีใคร ที่จะสามารถมองเห็น และเข้าใจถึงปัญหา และถึงต้นตอ ที่ไปที่มาได้ชัดเจน และสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด เท่ากับตัวของเราเอง การแก้ปัญหาได้ตรงจุด และถูกทิศถูกทาง จะทำให้ปัญหาดังกล่าวนั้น ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง

คนเราต้องมอง ให้เห็นตัวเอง และเข้าใจตัวเอง ให้มาก ต้องรู้จักบริหาร จัดการ กับระบบระเบียบ ของชีวิตตัวเองให้ดี เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่คุณเองมีความมั่นคง ในความรู้สึก และเข้าใจความต้องการ ของตัวเอง คุณจะรู้สึกภูมิใจ และมีความสุขกับตัวเอง ว่าคุณกำลังนำพาชีวิต ของตัวเองมาถูกทาง และเหมาะสมด้วยตัวของคุณเอง

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน 2

เพราะคนเราทุกคน ล้วนมีหน้าที่ ที่มาพร้อมรับผิดชอบ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสภาพสังคม สิ่งแวดล้อมแบบไหน ก็ตาม คนทุกคน นอกจากที่จะต้องดูแล รับผิดชอบตัวเอง ให้ดีแล้วนั้น หน้าที่ที่มีนอกเหนือจากตัวเอง ก็ยังเป็นองค์ประกอบและปัจจัยอื่นๆ ที่ทุกคนไม่สามารถ จะหลีกหนีหรือ ไม่สนใจไปได้

ตัวอย่างเช่น หน้าที่ในการดูแลครอบครัว หน้าที่การงาน ที่ต้องรับผิดชอบ หน้าที่ทางสังคม ที่ต้องมีส่วนร่วม และให้ความร่วมมือ เป็นต้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ แต่ละคนจะมีความรับผิดชอบ มากน้อย นั้นย่อมแตกต่างกันไป ตามสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ในชีวิตของแต่ละคน

ดังนั้นเมื่อคุณ ยิ่งมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มากเพียงใด คุณจำเป็นจะต้อง หนักแน่นกับตัวเอง และคุณจำเป็นจะต้อง เป็นผู้จัดการชีวิต ของตัวเองให้ดี และมั่นคงให้ได้มากที่สุด เพื่อคุณจะได้ นำพลังงานดีๆ ที่มีคุณภาพ ส่งต่อไปถึงความรับผิดชอบ ในส่วนอื่นๆในชีวิตของคุณ ได้อย่างราบรื่น และพบกับความยุ่งยาก ให้น้อยที่สุด

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน3

เพราะคนทุกคน ไม่ควรที่จะกระทำตัว ให้เป็นธุระของคนอื่น ข้อนี้ยิ่งสำคัญมาก ที่คนเราต้องรู้จัก พึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด เราทุกคนไม่ควร ที่จะทำตัวให้เป็นธุระ ของคนอื่น เฝ้ารอคนเพื่อมาบริการ หรือมาทำอะไร ก็ตามเพื่อตอบสนองความต้องการ ของตัวเอง เพื่อให้ตัวเองนั้น อยู่ในสถานะที่ สบายมากที่สุด

ความคิดแบบนี้ เป็นความคิด ที่ผิดอย่างมหันต์ ชีวิตของใครของมัน คุณจะต้องเรียนรู้ ที่จะต้องพึ่งพาตัวเอง เป็นอันดับแรก และต้องมีความพยายาม ที่จะทำมันอย่างเต็มที่ ที่สุด อย่างน้อย ก็เป็นการแสดงออก ให้เห็นว่า คุณนั้นรับผิดชอบในชีวิตของตัวเองเต็ม ที่ที่สุดแล้ว

และถ้าหลังจากนั้น มันเป็นเหตุที่ เกินจากกำลัง ของคุณแล้วจริงๆ การเอ่ยปาก เพื่อขอความช่วยเหลือ จากผู้อื่นจึงเป็นเรื่องที่รองลงมา ไม่ใช่เป็นเรื่องแรก ที่คุณนั้นนึกถึง เมื่อคุณกำลังต้องเผชิญ กับปัญหา ดังนั้น การพึ่งพาตนเองให้ได้ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

“อัตตาหิ อัตตโน นาโถ” ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

จริงแท้และแน่นอนที่สุด เป็นอีกหนึ่ง ของการกระทำ และแนวคิด ที่คุณสามารถสร้าง คุณค่าให้กับตัวเอง พัฒนาความเป็นมนุษย์ที่มีมุมมอง ในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ให้เกียรติซึ่งกันในสังคม ได้อย่างน่ายกย่อง

บทความที่เกี่ยวข้อง

วิธีขจัดความกลัว

0

วิธีขจัดความกลัว” ความกลัวเป็น ภาวะอารมณ์ และความเชื่อ ที่เป็นพื้นฐาน ของมนุษย์ทุกคน ที่มีมาตั้งแต่แรก โดยส่วนมากจะเกิดขึ้น จากความคิด ของรู้สึกของตัวเราเอง ที่ก่อร่างสร้างมันขึ้นมา ซึ่งในแต่ละคน ก็จะมีความแตกต่างกัน ออกไป เรื่องราวความเป็นมา และประสบการณ์ ที่ได้พบเจอ มักจะสร้างความกลัว ให้เกิดขึ้นในหลายๆรูปแบบ

และเมื่อใดก็ตาม ที่ความกลัว เริ่มมีบทบาท และมีพื้นที่ ในให้การใช้ชีวิตของคุณ เริ่มเกิดความไม่ราบรื่น คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ และเอาใจใส่กับตัวเอง เพื่อหาวิธีการ หรือแนวทางที่จะ ขจัดความกลัวที่มี ในชีวิตของคุณนั้นให้มันลดทอนลงไป

ไม่เช่นนั้นแล้ว ชีวิตของคุณ มักจะมีอุปสรรค เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเกิด กับตัวคุณเอง รวมถึงยังส่งผลต่อการใช้ชีวิต กับคนที่อยู่รอบข้างคุณด้วย ความกลัวของคุณ มันถึงเวลา ที่ควรจะขจัดมันออกไปบ้าง ได้แล้ว เพื่อทำให้การใช้ชีวิตของคนเรานั้น ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ และสร้างประสบการณ์ อันแปลกใหม่ เพื่อเป็นเรื่องราวที่ดีๆ และน่าจดจำ

3 วิธีขจัดความกลัว

วิธีขจัดความกลัว 1

คุณต้องมีความเชื่อมั่น และศรัทธาในตัวเอง ในหลายๆเหตุการณ์ ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ถ้าคุณลองสังเกตุตัวเอง ให้ถี่ถ้วนแล้วล่ะก็ คุณจะพบว่าความ ความกลัวที่เกิดจากความ ไม่เชื่อมั่น และไม่ศรัทธาในตัวเอง ทำให้คุณต้องปฏิเสธ และยกเลิก หรือเสียโอกาส ในหลายๆโอกาส ที่สามารถ ทำให้ชีวิตของคุณนั้น เป็นไปในทางที่ดีขึ้นและก้าวหน้าขึ้น

ตัวอย่างเช่น การเลื่อนตำแหน่งงาน ได้รับโปรเจค งานใหม่ที่ท้าทาย หรือแม้กระทั่ง การแข่งขัน ที่มีเงินรางวัลที่น่าสนใจ เมื่อคุณเกิดพลังงาน แห่งความกลัวที่สูง เพราะไม่มีความเชื่อมั่นว่า คุณสามารถทำได้ คุณก็จะพลาด แต่ถ้าคุณนั้นมีความเชื่อมั่น และศรัทธา ในตัวเองแล้วล่ะก็ คุณก็จะได้พบ และได้รับกับสิ่งที่มันคุ้มค่า กับชีวิตของคุณอย่างแน่นอน ดังนั้นเชื่อมั่น และศรัทธาในตัวเอง ไม่ต้องกลัว คุณทำได้

วิธีขจัดความกลัว 2

คุณต้องเรียนรู้ การรู้จักกล้าได้กล้าเสีย กล้าเผชิญหน้า สำหรับวิธีนี้ อาจจะดูแล้ว มีคำถามเกิดขึ้นในใจ หรือมีข้อขัดแย้ง ตอ่วิธีการนี้ ว่ามันสามารถ ใช้ได้จริงๆหรือ สำหรับเรื่องบางเรื่อง วิธีการขจัดความกลัวแบบนี้ สามารถตอบโจทย์ และแก้ปัญหา สำหรับความรู้สึกกลัว ที่กำลังเกิดขึ้นในใจ ได้ดี

วิธีการนี้นั้นเหมาะกับเรื่องที่ คุณนั้นไม่สามารถ ที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ คุณจำเป็นจะต้องเผชิญหน้า ดังนั้นคุณจำเป็น จะต้องกล้าได้กล้าเสีย ซึ่งนั่นเท่ากับว่า คุณได้ขจัดความกลัว ของคุณออกไปได้แล้ว เพราะคุณไม่กลัวการสูญเสีย หรือพ่ายแพ้

วิธีขจัดความกลัว 3

คุณต้องรู้จักการปล่อยวาง ปล่อยมันออกไป  ทำไมการปล่อยวาง จึงมาเกี่ยวข้อง กับเรื่องวิธีขจัดความกลัว เพราะความกลัว คือภาวะของอารมณ์ ที่เกิดขึ้นจากภายใน มันถูกสร้างขึ้นมา จากพลังงานของความคิด และประสบการณ์ที่พบเจอ ความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน หรือการรับฟัง เรื่องราวต่างๆ จนนำมาสานต่อ เรียงร้อยเป็นเรื่องราว และสร้างให้เกิดความกลัว

โลกเปลี่ยนแปลง  สังคม สภาพแวดล้อม หลายสิ่งหลายอย่าง ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลง ไปตามช่วงกาลเวลา ถ้าคนเรามัวแต่ยึดติด กับเรื่องเดิมๆ โดยที่ไม่คิดจะปล่อยวาง หรือเปิดใจรับรู้ว่า โลกภายนอก มันไปถึงไหนกันแล้ว การยึดติดและอยู่ในจุดเดิมๆ ที่ตัวเองอยู่ โดยเฉพาะกับความกลัว ที่ตัวเองนั้น มีไม่ได้ช่วยอะไร ให้มันดีขึ้น

วิธีที่ดีอีกหนึ่งวิธี คือปล่อยวางลงบ้าง อะไรที่มันไม่ควรยึดติด หรือนำมาเป็นภาระ ของชีวิตของเรา ก็ปล่อยมันออกไป ชีวิตจะได้อยู่ง่ายขึ้น เช่น ความตาย หลายๆคนกลัวตาย ยังงัยซะก็หนีไม่พ้น กลัวการเจ็บป่วย กลัวติดโรค ปล่อยวางดีกว่ามั้ย แล้วคิดใหม่ว่า ต้องทำอะไรเพื่อให้ มีสุขภาพที่ดีและปลอดภัย

ใช่มันน่ากลัว ไม่มีใครอยากตาย ไม่มีใครต้องการ ที่จะติดโรค ไม่มีใครต้องการ ที่จะเจ็บป่วย แต่ถ้าเรามัว แต่จะกลัวๆๆๆๆอย่างเดียว โดยที่มองไม่เห็น ความเป็นจริงว่า มันควรจะต้องกลัว กันขนาดนั้นเลยหรือไม่ จนทำให้การใช้ชีวิตของคุณ และคนรอบข้างวุ่นวาย และลำบากกันไปหมด ดังนั้นปล่อยวางลงบ้าง

you can do it

“ความกลัว” ถ้าเราขจัดหรือลด หรือเอามันออกไป จากจิตใจ ของเราได้ คุณจะพบว่า “ว้าว”ตลอดระยะที่ผ่านมาคุณพลาดโอกาส อะไรไปบ้าง มันเป็นเรื่องที่ยาก ในช่วงแรกๆ แต่ขอให้คุณเชื่อเถอะว่า คุณทำได้ เพราะถ้าความกลัวเหล่านั้น มันทำให้ชีวิต มีปัญหาแล้วล่ะก็ มันถึงเวลาที่คุณต้อง จัดการได้แล้วนั่นเอง

บทความที่เกี่ยวข้อง

ตกหลุมรัก ยังงัยนะ

0

ความรัก เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่บอบบาง เป็นเรื่องที่ บางครั้งไม่สามารถ ที่จะอธิบายถึงความรู้สึก ที่มันกำลังจะก่อเกิดขึ้นได้ รู้เพียงแต่ว่า หัวใจมันเต้นไม่เป็นปกติ ความรู้สึกในการรับรู้ ประสาทสัมผัสทางร่างกาย ช่างอ่อนไหว คล้ายๆกำลังจะมีไข้ แต่มันก็สร้างความสุขลึกๆ ในแบบที่อธิบายไม่ได้ จากภายใน “ตกหลุมรัก” 

เมื่อคุณกำลังรู้สึกว่า กำลังตกหลุมรัก และหลงรักใครซักคนนึง  มันมักจะก่อให้เกิด การกระทำบางอย่างที่ไม่รู้ตัว ที่ยากจะอธิบาย การกระทำต่างๆ มักจะเกิดและดำเนินไป ตามความรู้สึก และความต้องการ ที่เกิดจากภายใต้ของกระบวนการทำงาน ของสมองที่หลั่งสาร เซโรโทนิน (Serotonin) และทำให้คนเรา เกิดพฤติกรรม การแสดงออกที่ไม่รู้ตัว เช่น ใจลอย นั่งเหม่อ หรือเผลอยิ้มคนเดียว เป็นต้น

ตกหลุมรัก

5 อาการ ตกหลุมรัก ที่อาจเกิดกับคุณโดยไม่รู้ตัว

คุณเริ่มรู้สึกที่ไม่สามารถจะหยุดคิดถึงเขาคนนั้นได้เลย ตั้งแต่ที่คุณได้พบ กับเขาคนนั้น คุณไม่สามารถ ที่จะลบภาพ และเรื่องราวสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ที่ทำให้คุณและ เค้าคนนั้นได้พบกัน คุณเฝ้าวนเวียน คิดเรื่องเดิมๆ คิดทบทวนความรู้สึก ในวันนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่า

และได้แต่ภาวนาว่า คุณจะมีโอกาสได้เจอ และพบกับเขาคนนั้นอีกครั้ง หรือแม้กระทั่ง คุณพยายามที่คิด และสร้างสถานการณ์ขึ้นมา เป็นการเตรียมพร้อมว่า ในครั้งต่อไปถ้าคุณ ได้เจอกับเค้าอีก คุณจะทำอย่างไรต่อไป คิดเป็นขั้น เป็นตอน แผน A แผน B เตรียมพร้อม “ลุย

ตกหลุมรัก 1

คุณเริ่มมีความต้องการ ที่อยากเห็นหน้า อยากพูดคุยกับเขาอยู่เสมอ หลังจากที่เริ่มรู้จักกัน ได้มากขึ้นแล้ว คุณจะเริ่มมีความรู้สึกว่า อยากพบอยากเจอ กับเค้าคนนั้นอยู่เสมอ อยากพูดคุยกันเรื่อยๆ พูด พูด แล้วก็พูด อยากได้ยินเสียง อยากเห็นหน้า ไม่มีความรู้สึกเบื่อหน่าย

แค่ไม่เห็นหน้า ไม่กี่นาทีก็ดูเหมือนชีวิต ได้ขาดหาย สิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ไม่อยากที่จะทำอะไร เฝ้ารอจนกว่าจะได้รับการตอบสนอง จากเขาคนนั้น ก่อนนอนถ้าไม่ได้คุยกัน ก็จะะนอนไม่ค่อยหลับ หรือเผลอๆคุยกัน จนหลับคาสายโทรศัพท์(อาการหนักมาก) หรือไม่ก็พอตื่นเช้ามา ก็ต้องโทรหา หรือส่งข้อความหาเขาคนนั้น อันดับแรก เฮ้อ

ตกหลุมรัก 2

คุณเริ่มมีความต้องการ ที่อยากรู้จักเรื่องราว ของคนๆนั้นมากขึ้น อยากรู้ไปซะทุกเรื่อง อยากรู้ว่า เค้าชอบไม่ชอบอะไร กิจกรรมที่ชอบทำมีอะไรบ้าง ชอบทานอาหารแบบไหน เวลาที่มีเวลาว่าง ชอบทำอะไร ชอบไปเที่ยวในสถานที่แบบไหน อะไรที่เป็นข้อต้องห้าม และไม่ควรพลาด

ลักษณะนิสัยแบบไหน ที่ทำให้สามารถ อยู่กับเค้าได้ อะไรที่เค้ารับไม่ได้เลย กับการที่ต้องใช้เวลา กับใครซักคน เริ่มเกิดความระวังตัว มากขึ้น และต้องการที่จะหาข้อมูล เพื่อป้องกันไว้ก่อน Safety first

อยากรู้เรื่องราว

คุณเริ่มสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง และไม่มีสติกับเรื่องอื่นๆรอบตัว จิตใจมันจะหมกมุ่น อยู่กับเรื่องของคนๆนั้นอยู่เสมอ สังเกตุได้ว่า ใจมักไม่อยู่กับตัวเอง กิจกรรมหรือ สิ่งที่เคยทำอยู่เป็นประจำ คุณจะเริ่มใส่ใจกับสิ่งนั้นน้อยลง ความรู้สึกนึกคิด มักจะเป็นเรื่องของคนๆนั้น มาก่อนเสมอ

ประสาทสัมผัส ทางด้านการรับรู้ หรือพูดคุยกับคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ตัว ก็ดูจะเรียกความสนใจ จากคุณได้ไม่เท่า ที่ควรจะเป็น อย่างเช่นก่อนหน้านี้ ซึ่งบางทีคุณอาจจะ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า คุณเป็นแบบนี้ จนกว่าคนที่อยู่ รอบข้างตัวคุณ จะส่งสัญญาณบอกคุณเองว่า สนใจชั้นหน่อย Hello

จิตใจล่องลอย

คุณเริ่มมีความคิด ที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง  ก่อนหน้านี้ เพื่อนฝูง คนใกล้ชิด ต่างช่วยกันทั้ง เขย่า ทั้งสะกิด ทั้งบอกกล่าว ให้คุณหันมาดูแลตัวเอง เปลี่ยนแปลงปรับปรุงสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นทรงผม ใบหน้า เพื่อนบอกแต่งหน้าบ้าง เขียนคิ้วบ้าง เสื้อผ้าก็ใส่ให้มันดู Sexy บ้าง แต่คุณก็เลือก ที่จะเมินเฉย บอกอย่างเดียวว่า สะดวกแบบนี้

แต่คุณเชื่อมั้ย คนเรานะเมื่อ ได้เจอคนที่ถูกใจ หรือมีความรู้สึก ชื่นชอบ มันสามารถ ที่จะเปลี่ยนแปลง ไปได้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ จากคนที่ไม่เคยสนใจ ในเรื่องสวยๆงามๆ ก็จะลุกขึ้นมา เปลี่ยนแปลงตังเอง จะเริ่มมีความถาม กับคนรอบข้างว่า ใส่ชุดนี้ดูดีมั้ย แต่งหน้าแบบนี้สวยมั้ย เชื่อสิ เหมือนเป็นคนละคนเลย OMG

เปลี่ยนแปลงตัวเอง

การตกหลุมรัก ใครซักคนนึง มันสามารถเกิดขึ้น กับใครก็ได้ไม่ใช่เรื่อง ที่ต้องกังวล ให้มันมากมายนัก เพราะมันเป็นจังหวะของชีวิต ที่คณอาจได้พบเจอ กับใครที่เผอิญตรง กับที่ตัวเองนั้นกำลังมองหาอยู่ หรือเป็นคนที่รู้สึกถูกตาต้องใจ คนนี้แหล่ะใช่เลย ก็เลยทำให้เสียอาการกันไป

ใช้ชีวิตให้มีความสุข

ไม่ใช่เรื่องใหญหรือเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังงานมากมายนัก แต่เมื่อใดก็ตามที่ค้นพบว่า การตกหลุมรักในครั้งนี้นั้น มันไม่ได้สมหวัง หรือไม่ได้สานต่อกันไปในรูปแบบที่ต้องการหรือควรจะเป็น คุณจำเป็นจะต้องรับรู้และต้องเข้าใจ และจะต้องดึงตัวเอง ออกมาจากหลุม ที่ตัวเองนั้นได้ขุด และตกลงไป

เพื่อให้ชีวิตของคุณนั้นไปต่อได้เพื่อตัวของคุณเอง

บทความที่เกี่ยวข้อง

เคารพ และการให้เกียรติ สำคัญต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม

0

ทุกคนเคยสังเกตุมั้ยคะ คนเราเริ่มมีความเห็นแก่ตัว และให้ค่าของตัวเอง สูงส่งกว่าคนอื่น เห็นได้ในหลายๆคน เลือกที่จะแสดงออกมาให้เห็นว่า ตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ และสำคัญมาก ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่มันไม่สมควรที่ คิดว่าตัวเองสำคัญ และไปลดค่าความสำคัญ ของคนอื่นๆ และแสดงออกซึ่งพฤติกรรม ในการ เคารพ และการให้เกียรติ คนอื่นนั้นน้อยลง หรือแทบจะไม่มีเลย

ตามสุภาษิตไทยที่ว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล หมายถึง การแสดงออก ในเรื่องของคำพูด และการแสดงออกโดยกิริยาท่าทาง ทั้งสองอย่างนี้ มีผลกระทบต่อสังคม ที่จะทำให้คิดต่อไปถึง สภาพครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง การอบรมเลี้ยงดู พื้นฐานสังคมในครอบครัว มีความเป็นอยู่กันแบบใด

พฤติกรรมแสดงออก ที่ไม่ เคารพ และไม่ให้เกียรติ ผู้อื่นที่ไม่ควรกระทำ

เคารพ และการให้เกียรติ 1

การใช้น้ำเสียงที่ห้วนและกระชาก ไม่มีใครชอบจริงๆนะ มันเป็นการแสดงออก ในการใช้นำเสียง ที่ไม่น่าฟังอย่างมาก คนที่ชอบใช้นำเสียงแบบนี้ กับคนอื่นโดยเฉพาะ เวลาไปใช้บริการ จากสถานบริการต่างๆ และใช้น้ำเสียงเหมือนตัวเองนั้น ยิ่งใหญ่และสำคัญมาก

คนแบบนี้ อาจจะสามารถมองออกได้ว่า ในชีวิตที่เป็นอยู่ ในปัจจุบัน น่าจะถูกคนรอบข้าง ใช้น้ำเสียงแบบนี้ และตนเองนั้นไม่ชอบเอาเสียเลย จึงหาทางระบายออก กับคนอื่น เมื่อมีโอกาส

การแสดงออกทางสายตา สายตาเปรียบเสมือน หน้าต่างของหัวใจ และหน้าต่าง ของความคิด สายตาไม่เคย โกหก และแสดงออก ทางมารยาท และความรู้สึกได้อย่างมาก เมื่อคุณต้องการที่จะสื่อสาร หรือต้องการ ที่จะขอความช่วยเหลือ จากคนอื่น การใช้สายตา เพื่อแสดงออกถึง การถูกกล่าวถึง หรือมีตัวตน อยู่ในสถานการณ์นั้นๆด้วย ถือว่าเป็นมารยาท ทางสังคมที่ควร จะต้องรู้และปฏิบัติ

ห้ามเด็ดขาด โดยเฉพาะเมื่อคุณอยู่ในกลุ่ม เพื่อที่กำลังร่วมและพูดคุยกัน แต่คุณเลือกที่จะมอง และคุยกับคนๆหนึ่งเท่านั้น ทั้งๆที่ในกลุ่มต่างก็ มีคนอื่นนั้นอยู่ร่วมด้วย คนอื่นที่อยู่ในกลุ่มนั้น จะรู้สึกได้ทันทีว่า คุณนั้นไม่เห็น เค้าเหล่านั้นอยู่ในสายตา หรือไม่ให้เกียรติ พวกเค้าเลย

พฤติกรรม การแสดงออกซึ่งการ เคารพ และการให้เกียรติ ต่อผู้อื่น ที่ควรกระทำ

เคารพ และการให้เกียรติ 2

รักษามารยาททางสังคม เมื่อทุกคนรู้จัก การใช้มารยาท ที่ถูกต้อง ในการอยู่ร่วมกัน ในสังคม ย่อมจะเป็นเรื่องที่ดี ที่จะทำให้ การอยู่ร่วมกันนั้น เป็นไปอย่างมีคุณภาพ และมีความสงบสุข และไม่สร้างปัญหา หรือความลำบากใจ ให้กับคนอื่นๆที่ใช้สถานที่ และอยู่ร่วมกันในสังคม อย่างเช่น

  • รักษาความสะอาด ต่อสถานที่ หลังจากที่ตนเอง ได้เสร็จธุระแล้ว โดยไม่ทิ้งขยะ หรือ สิ่งของที่ตัวเอง ไม่ใช้แล้ว ไว้บนโต๊ะ เก็บและนำไปทิ้งในจุดที่ต้องทิ้ง โดยไม่ปล่อยให้เป็นภาระของคนอื่น
  •  รักษาเวลา บางสถานที่พื้นที่สาธารณะ บางจุด จำกัดเวลาในการใช้บริการ ดังนั้นทุกคนจำเป็น จะต้องให้ความสำคัญ เพื่อไม่ทำให้คนอื่น ต้องได้รับกับผลกระทบ
  • รักษา และปฏิบัติตามกฏระเบียบ เรื่องนี้สำคัญ เพราะเป็นวิธีการ ที่ทำให้คนหมูมาก เมื่อต้องมาใช้ พื้นที่สาธารณะร่วมกัน ได้ปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน เพื่อให้ได้รับบริการกัน อย่างทั่วถึง(ในกรณีที่คนมารวมตัวกันมากๆ)
  • ระวังเรื่องการใช้เสียง พลังงานของเสียง ไม่ว่าจะดังออกมาจาก การพูดคุย หรือจากอุปกรณ์สื่อสาร หรืออุปกรณ์ที่มีไว้เพื่อความบันเทิง เมื่อคุณไม่ได้อยู่คนเดียว เสียงถือว่า สร้างการรบกวนต่อผู้อื่น ได้อย่างร้ายกาจ อย่าพูดเสียงดังหรือเปิดอุปกรณ์ ที่ทำให้เสียงนั้น รบกวนต่อผู้อื่น

ความเท่าเทียม

ให้ความสำคัญกับทุกคนโดยเท่าเทียมกัน คนเราไม่ว่าจะยากดีมีจน ก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่ดูถูกหรือก้าวล้ำต่อวิถีชีวิต ของคนอื่น ไม่วิพากวิจารณ์ หรือปฏิบัติต่อคนอื่น ในทางที่ไม่เห็นคุณค่า หรือลดคุณค่าของคนอื่น จงระลึกอยู่เสมอว่า คนทุกคนนั้นย่อมมีคุณค่า ที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีใครที่จะมาตัดสิน หรือกำหนดชีวิตของคนอื่นได้

เข้าใจและ เคารพ ในความคิดเห็นและการกระทำ ที่แตกต่าง ความแตกต่าง ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเรื่องที่จะเข้าใจได้ไม่ยาก เพียงแต่คุณต้องรู้จัก เปิดตาและเปิดใจ อย่าคิดหรือมองเห็น เพียงแต่ในมุมของตัวเอง แล้วนำไปตัดสินคนอื่น และนำมาเป็นมาตรฐานเบื้องต้น ว่าควรจะเป็นเช่นไร

ความแตกต่าง ก็คือสีสันในสังคม ที่สามารถทำให้สังคัม นั้นน่าอยู่ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครเหนือกว่าใคร หรือแม้กระทั่ง จะนำความแตกต่าง มาจำกัดสิทธิ หรือริดรอนต่อบทบาท ในการอยู่ร่วมกัน ในสังคม เราทุกคน ควรต้องเรียนรู้ จากความแตกต่างที่มี และนำมาปรับเปลี่ยน ให้อยู่ร่วมกัน ในสังคมต่อไปได้

รู้จักใช้คำพูด และสื่อสารอย่างระมัดระวัง ทุกวันนี้ปัญหาต่างๆ ที่ทวีความรุนแรง และทำให้บานปลาย ในหลายๆเหตุการณ์ คำพูด ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ สถานการณ์ที่เกิดนั้น เป็นไปในทางที่ดีขึ้น หรือเลวร้ายลง กับคนอื่น ที่ได้ยิน หรือต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน

สิ่งที่สามารถช่วยได้ดีคือ การฝึกฝนการใช้คำพูด โดยผ่านกระบวนการ ของคำพูด ที่ต้องผ่านการกรั่นกรอง ทางความคิด ให้ดีเสียก่อน แล้วจึงตัดสินใจ ที่จะสื่อสารออกไป ย่อมเป็นทางออกที่ดี อย่างน้อยคำพูด ที่ออกไปจากปาก ของเราในแต่ละประโยค ก็จะไม่ไปทำร้าย หรือไปสร้างผลกระทบ หรือรบกวนคนอื่น

สติ

บทส่งท้าย

อย่ามองข้าม หรือไม่ให้ความสำคัญ ในการกระทำ และการแสดงออก ในพฤติกรรมของตัวเอง ที่มีต่อคนอื่น บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ หรืออาจจะไม่ใส่ใจ หรือเลือกที่จะเมินเฉย คุณอาจจะคิดว่า คุณคนเดียวไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม หรือแก้ไขคนอื่นให้ดีขึ้นได้

ไม่เป็นไรค่ะ แต่คุณลองเริ่มคิด และเปลี่ยนแปลง ที่ตัวของคุณเองก่อน และทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง อย่างน้อยคุณก็จะรู้สึกดีกับตัวคุณเอง ว่าคุณนั้นให้เกียรติ และเคารพตัวเอง ซึ่งคนอื่นที่อยู่รอบตัวคุณ ก็จะสัมผัสได้ถึง คุณนั้นเคารพและให้เกียรติพวกเค้าเหล่านั้นเช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้อง

โยคะเปิดสะโพก Hip-Opening

0

โยคะเปิดสะโพก Hip-Opening สำคัญอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการฝึกโยคะ เมื่อผู้ฝึกมีสะโพกที่เปิด ถือว่าเป็นสิ่งเรื่องที่ดี เพราะมันจะช่วยและฝึกร่างกาย และทำให้หลังส่วนล่างขยาย และมีสะโพกกว้าง และยืดขยายได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผล ทำให้การเข้าอาสนะหลายๆท่า นั้นง่ายยิ่งขึ้น

ดังนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่ง ที่มักจะฝึกโยคะ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น การฝึกโยคะ ในแบบไหนก็ตาม คุณควรที่จะมี การอบอุ่นร่างกาย ในท่าโยคะ ที่เป็นในรูปแบบ การเปิดสะโพก ก่อนที่จะเริ่มฝึกโยคะ บนเสื่อของคุณต่อไป

นอกจากนั้น คุณจะสังเกตุได้ว่า ทุกวันนี้ปัญหา ของสะโพก ก็เป็นหนึ่งในปัญหา ที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งสาเหตุหลักๆ อาจเป็นเพราะเรา ใช้เวลาส่วนใหญ่ ในแต่ละวัน ในการนั่งบนเก้าอี้ บนรถยนต์ หรือบนเตียง นั่งเป็นเวลานานๆ เป็นชั่วโมงๆ โดยที่เราไม่ได้ขยับ และคงอยู่ ในท่าเดิมนานๆ จนเกิดปัญหา เช่น ปวดหลังส่วนล่าง กระดูกสันหลัง ไม่ตรง หรือแม้แต่การบาดเจ็บ บริเวณหลัง

สาเหตุคือ อวัยวะส่วนบริเวณ ข้อต่อสะโพก และเชิงกราน เป็นจุดเชื่อมต่อ ระหว่างส่วนบน และส่วนล่าง ของร่างกาย ดังนั้นจึง เป็นบริเวณที่ สำคัญสำหรับ การเคลื่อนไหว ในอากับกิริยาต่างๆ หากสะโพกไม่เปิด และยืดหยุ่นเพียงพอ อาจทำให้เกิดอาการ สะโพกติดขัด ลุกลามไปยังจุดต่างๆ และก่อให้เกิดอาการ ปวดเมื่อยได้

ดังนั้น ท่าโยคะที่ใช้ ในการเปิดสะโพก นอกจากจะมีความสำคัญ สำหรับผู้ที่ฝึกโยคะ แล้วนั้น ในเรื่องสุขภาพ ของการเคลื่อนไหว ท่าการฝึก ยังสามารถช่วยคลายสะโพก ที่ตึงอย่างได้ผล และยังจะช่วยปรับสมดุล ช่วงของการเคลื่อนไหวและการไหลเวียน และยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง ได้อย่างมากอีกด้วย

ท่า โยคะเปิดสะโพก Hip-Opening

Baddha Konasana – Cobbler’s Pose

  • เริ่มนั่งในท่า Staff Pose (Dandasana) โดยเหยียดขาทั้งสองออกไปตรงข้างหน้า
  • จากนั้นงอเข่าทั้งสองข้างของคุณ และนำฝ่าเท้ามาประกบเข้าหากัน ปล่อยให้เข่าตกทิ้งน้ำหนัก ตามสบายลงไป ดึงเท้าทั้งสองให้ เข้ามาใกล้ร่างกายมาก ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าคุณรู้สึกปวดหัวเข่า ให้ลองกดขอบด้านนอกของเท้า เข้าด้วยกันแน่นๆ แล้วเปิดอุ้งเท้าออก ลักษณะคล้ายกำลังเปิดหนังสือ
  • นั่งตั้งลำตัวให้ตรง ให้กระดูกสันหลังยาว โดยการกดหัวไหล่ลง อยู่ให้ห่างจากใบหู สายตามองตรง ไปข้างหน้า ระหว่างที่อยู่ในท่า ลองเพิ่มการขยับหัวเข่า ทั้งสองขึ้นลง เพื่อเป็นการบริหารข้อต่อ ของสะโพก ตามจังหวะการหายใจเข้าออก
  • อยู่ในท่าแบบนี้ประมาณ 10 ลมหายใจเข้าออก จากนั้นออกจากท่า โดยการคลายเท้า ทั้งสองข้างออกยืดเหยียดตรงออกไปด้านหน้า เหมือนตอนท่าที่เริ่มต้น

Supta Baddha Konasana-Reclining Bound Angle Pose

  • เริ่มต้นจาก ท่า Baddha Konasana จากนั้นหายใจออก และลดลำตัวลง โดยให้หลังของคุณแตะที่พื้นก่อน โดยคุณสามารถใช้แขนและมือของคุณช่วยพยุง จนสามารถนอนลงที่พื้นได้
  • จากนั้นให้นำมือ ช่วยกางหลังกระดูกเชิงกราน ให้แผ่ขยาย และปล่อยหลังส่วนล่าง และก้นส่วนบนผ่านกระดูกก้นกบ นำลำตัวของคุณ แนบลงไปที่พื้น คุณอาจใช้อุปกรณ์มาช่วยหนุนศีรษะ และคอด้วยผ้าห่ม หรือหมอนข้างหากจำเป็น
  • ใช้มือจับและกดตรงต้นขาด้านบนสุด แล้วหมุนต้นขาด้านในออกด้านนอก โดยกดต้นขาด้านนอก ให้ห่างออกจากด้านข้างของลำตัว ถัดไป กางเข่าด้านนอก ออกห่างจากสะโพก วางแขนของคุณบนพื้น ทำมุมประมาณ 45 องศาจากด้านข้างของลำตัว ยกฝ่ามือขึ้น
  • ช่วงที่เพิ่งเริ่มฝึก ในการเริ่มต้น ให้อยู่ในท่านี้ เป็นเวลาประมาณหนึ่งนาที จากนั้นค่อยๆ ขยายเวลาของการฝึกให้นานขึ้นก็ได้ ในการออกมา ให้ใช้มือจับรวบต้นขา เข้าหากัน จากนั้นพลิกตัว ไปข้างหนึ่งแล้วดันตัวเอง ลุกขึ้นนั่งออกจากพื้น ตามลำดับ

Baddha Virabhadrasana – Bowing Warrior 

  • เริ่มต้นด้วยท่า Tadasana (ท่าภูเขา) โดยให้เท้าทั้งสองชิดกัน และวางแขนทั้งสองข้างแนบลำตัว กระจายน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอที่เท้าของคุณ หากคุณมีปัญหา ในเรื่องของการทรงตัวในท่านี้ ให้ยืนโดยให้แยกเท้าขนานกัน ตามความกว้างของสะโพก
  • จากนั้นหายใจออก ให้ก้าวขาซ้าย ส่งไปด้านหลัง ประมาณ 4 ถึง 5 ฟุต แล้วหมุนเท้าหลัง กลับเข้ามาทำมุม 45 องศาโดยให้นิ้วเท้าชี้ ไปที่มุมซ้ายบนของเสื่อ นิ้วเท้าที่อยู่ข้างหน้าชี้ ไปข้างหน้าและขนาน กับขอบด้านหน้าของเสื่อ หันสะโพกไปทางด้านหน้าของเสื่อ
  • ด้วยลมหายใจออก ให้งอเข่าขวา เป็นระดับ 90 องศา โดยให้เข่าอยู่เหนือข้อเท้า และหน้าแข้งตั้งฉากกับพื้น กระจายน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอ ผ่านเท้าหน้า ในขณะที่คุณยกส่วนโค้งด้านใน และโน้มลำตัว พร้อมทั้งศรีษะ ลงไปทางมุมของเท้าที่อยู่ด้านหน้า
  • ในตำแหน่งขาหลัง จะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขาเหยียดตรง โดยไม่ล็อคหัวเข่า ส่งแรงผลักลง ที่ขอบเท้าด้านนอกของเท้าหลัง แน่นลงบนพื้นเสื่อ จากนั้นหายใจเข้า ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ ขยายกระดูกไหปลาร้า ดึงไหล่ออกจากหู ยืดกระดูกก้นกบลงไปที่พื้น สูบสะดือเข้าหากระดูกสันหลัง เก็บซี่โครง
  • จากนั้นหายใจเข้า ให้หมุนหัวไหล่และแขนไปด้านหลัง ประสานนิ้วและประกบฝ่ามือเข้าหากัน เอนหลังเบา ๆ และแอ่นอกและขยายส่งขึ้นไปหาเพดาน หายใจออก เกร็งขาให้ตรง และคงกระดูกสันหลังให้ยาว พับลำตัวไปข้างหน้าจากสะโพก แล้วยกมือขึ้นสู่เพดาน ลำตัวอยู่ด้านใน ของเข่าขวา
  •  ค้างอยู่ในท่า ประมาณ 3-5 ลมหายใจเข้า3ออก จากนั้นออกจากท่า โดยการหายใจเข้า ใช้กำลังหน้าท้องดึงลำตัวกลับขึ้นมา แล้วเหยียดขาหน้าให้ตรง แล้วกลับไปสู่ท่าเริ่มต้น พร้อมทั้งกลับไปทำอีกด้าน

Eka Pada Utkatasana – Standing Figure-4 Stretch 

  • เริ่มต้นด้วยท่า Chair Pose (Utkatasana) โดยให้เท้าทั้งสองข้างติดพื้น และน้ำหนักของคุณอยู่ที่ส้นเท้า
  • จากนั้นนำมือมาประกบกันไปที่ท่า Anjali Mudra ในระดับตำแหน่งหัวใจของคุณ ถ่ายน้ำหนักตัวไปที่เท้าซ้าย ในขณะที่ยกเท้าขวาลอยขึ้นจากพื้น งอเข่าซ้ายไว้ดังเดิม ในขณะไขว้ข้อเท้าขวา ไปพักบนต้นขาซ้ายเหนือเข่า เป็นลักษณะ รูปสามเหลี่ยมในระดับแนวหน้าแข้งขวา
  • อยู่ในตำแหน่งนี้ประมาณ 3-5 ลมหายใจเข้าออก ในขณะที่ทรงตัว ให้หาจุดตำแหน่งสายตา เพื่อช่วยในการทรงตัว หรือจะมองลงที่พื้นด้านหน้า ก็ได้เช่นกัน
  • จากนั้นถ้าคุณต้องการไปต่อ ให้เริ่มลดหน้าอกของคุณลง จนมือของคุณ (ยังอยู่ในท่าAnjali Mudra) วางบนน่องขวาของคุณ หรืออาจจะนำมือออก แล้วนำไปแตะที่พื้น หรือบล็อคเพื่อช่วย ทำให้การยืดและเปิดสะโพก ได้ลึกยิ่งขึ้น
  • ออกจากท่าโดยการ ปล่อยขาขวาลงกับพื้น และหายใจเข้ากลับสู่ท่าเก้าอี้ จากนั้นสลับกลับไปทำอีกข้าง

Prasarita Padottanasana – Wide-Legged Forward Fold

  • เริ่มต้นในท่า Tadasana  (ท่าภูเขา) หันหน้าไปทางขอบด้านยาวของเสื่อ จากนั้นก้าวเท้าแยก ออกจากกัน ประมาณ 3 ถึง 4 1/2 ฟุต (ขึ้นอยู่กับความสูงของคุณ) วางมือลงบนสะโพก เท้าด้านในขนานกัน กดขอบด้านนอกของเท้า แน่นติดพื้น เกร็งกล้ามเนื้อต้นขากระชับ หายใจเข้า และยกหน้าอกขึ้น
  • หายใจออกลำตัวด้านหน้ายืดตรง จากนั้นเอนลำตัวไปข้างหน้า จากข้อต่อสะโพก โดยที่ลำตัวขนานไปกับพื้น วางปลายนิ้วและฝ่ามือลงบนพื้น บริเวณใต้ไหล่  ขาและแขน ตั้งฉากกับพื้น และขนานกัน เลื่อนกระดูกสันหลัง ไปที่ลำตัวด้านหลัง เงยหน้าขึ้น โดยให้ส่วนหลังของคอยาว และมองขึ้นไปที่เพดาน
  • ระหว่างอยู่ในท่า ดันต้นขาส่วนบนไปด้านหลัง เพื่อช่วยยืดลำตัวด้านหน้า และดึงขาหนีบด้านใน ออกจากกันเพื่อขยายฐานของกระดูกเชิงกราน หายใจเข้าเล็กน้อย ยกของกระดูกอกไปข้างหน้า ให้เดินปลายนิ้วมือระหว่างเท้า
  • หายใจเข้าอีกสักสองสามครั้ง ในตำแหน่งนี้ หลังจากนั้นหายใจออก งอข้อศอกและลดลำตัวลงเรื่อยๆ แล้วก้มตัวไปข้างหน้าจนสุด ถ้าเป็นไปได้ให้วางกระหม่อมบนพื้น โดยกดฝ่ามือ ลงบนพื้นนิ้วชี้ ชี้ไปข้างหน้า หากคุณมีความยืดหยุ่นให้ขยับลำตัว และเดินมือไปข้างหลังจนกระทั่งปลายแขนตั้งฉากกับพื้น และต้นแขนขนานกัน
  • อยู่ในตำแหน่งใดก็ได้ โดยใช้เวลาอยู่ในท่าประมาณ ตั้งแต่ 30 วินาทีถึง 1 นาที ในการออกจากท่า ให้เอามือของคุณกลับมาบนพื้นบริเวณใต้ไหล่ แล้วยกและยืดลำตัวด้านหน้าให้ยาวขึ้น จากนั้นหายใจเข้า วางมือบนสะโพก พร้อมกับดึงลำตัวขึ้น โดยที่หลังไม่โค้งงอ และกลับเข้าสู่ท่า Tadasana

Malasana – Yogi Squat 

  • เริ่มต้นด้วยการยืนแยกขากว้าง เท่าความกว้างของเสื่อ จากนั้นงอเข่า และลดก้นไป ใกล้พื้นเสื่อคล้ายๆท่านั่งยองๆ แยกหัวเข่าทั้งสองข้างออกจากกัน
  • นำแขนท่อนบน เข้าไปขัดหัวเข่าด้านใน งอข้อศอก เพื่อนำฝ่ามือทั้องสองประกบ เข้าหากัน เป็นท่าอัญชลี(ท่าพนมมือ) คุณสามารถให้นิ้วหัวแม่มือ แตะกระดูกอกได้ กดแขนท่อนบนไปที่ต้นขา แขนทั้งสองข้างมีกำลัง ในการขัดหัวเข่าและขาทั้งสอง ให้แยกออกจากกัน เพื่อเป็นยืดขยายช่วงสะโพก
  • เมื่ออยู่ในท่า กระดูกสันหลังต้องตั้งตรง กดก้นกบลงไปที่พื้น ช่วงไหล่ผ่อนคลาย และดึงให้ห่างจากใบหู เพื่อเป็นการยืดขยายได้ดีมากยิ่งขึ้น ในช่วงแรกๆของการฝึก คุณสามารถขยับขา และสะโพกไปมาซ้ายขวา เพื่อสร้างการเคลื่อนไหวให้กับข้อต่อสะโพก
  • อยู่ในตำแหน่งนี้ ประมาณ 3-5 ลมหายใจเข้าออก ออกจากท่าโดยการ เหยียดขาตรง ยืนขึ้นแล้วกลับสู่ท่าเริ่มต้น ลองทำท่านี้ซ้ำประมาณ 3 ครั้ง เพื่อเป็นประโยชน์ ในการวอร์มร่างกายอย่างเต็มที่
บทความที่เกี่ยวข้อง

เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิต เปลี่ยน

เปลี่ยนวิธีคิด เพื่อให้ชีวิต เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ความเครียด ที่สร้างความทุกข์ ที่เกิดขึ้นมาจากตัวเรา หรือเกิดจากการกระทำ ของคนอื่น ที่ได้ส่งผล มาถึงตัวเราเอง โดยบางครั้งเราเอง ก็ไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นที่อยู่ รายล้อมรอบตัวเรา มันมีอิทธิพลอย่างไร กับชีวิตของเราบ้าง

เราควรต้องจัดการ อย่างไร การบริหารจัดการ กับความคิด ติดตามเฝ้าระวังความรู้สึก ของเราให้ทัน จะช่วยทำให้เกิดกระบวนการ ในการจัดการกับอารมณ์ ที่จะเป็นช่องว่าง ในการนำพาซึ่งปัญหา ที่จะเข้ามาบั่นทอน และดึงดูดพลังงานที่เป็นบวกออกไป จากชีวิตของเรา

3 สิ่งสำคัญพื้นฐานที่ควรต้องเปลี่ยน

ต้องให้ความสำคัญกับคำพูดของตนเอง

คำพูดเปรียบเสมือนอาวุธ เป็นได้ทั้งอาวุธ ที่มีไว้เพื่อสามารถ ใช้เพื่อป้องกัน หรือใช้ เพื่อการทำลายล้าง ดังนั้นในทุกๆครั้ง ในการใช้คำพูด จึงสมควรที่จะต้องคิด ให้หนักแน่น และคำนึงถึงผล ที่จะตามมาจากคำพูด ของตนเอง เพราะถ้ามันหลุด ออกจากปาก ของเราไปแล้ว โดยที่ไม่คิด บ่อยครั้งที่มันเกิน ที่จะแก้ไข

คำพูดโดยที่ไม่คิด หรือออกมาจากอารมณ์ บางช่วงบางตอน มันสามารถสร้างตราบาป ให้กับคนที่ได้ยินได้เสมอ โดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัว และมันยังคงส่งผลต่อมา จนเป็นปม ให้กับชีวิตของคนหลายๆคน ได้อย่างไม่น่าให้อภัย ดังนั้นจงให้ความสำคัญ กับคำพูดของตัวเองทุกครั้ง เพื่อตัวคุณเอง และคนอื่นๆรอบข้าง

เปลี่ยนวิธีคิด ในการใช้คำพูด เพื่อดึงดูด และสร้างพลังงานดีๆ ที่เป็นด้านบวกให้กับชีวิต ของเราเอง ให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น ไปกับสภาพจิตใจ ที่เป็นพลังงานที่ดีๆ ให้นำพาตัวเอง ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อม และบรรยากาศที่มี แต่เรื่องราวส่งเสริมทั้งตัวเอง และคนที่อยู่รอบข้าง

ชีวิตของคุณจะดีขึ้น หรือจะเลวร้ายลง คำพูดที่แสดงออกมา จากตัวคุณเอง ย่อมส่งผล และสามารถแสดงออกมา ให้เห็นได้ว่า คุณต้องการที่จะใช้และอยู่ กับช่วงเวลาในชีวิตของคุณ ที่มีอยู่นั้นอย่างไร

เปลี่ยนวิธีคิด

จะสุขหรือจะทุกข์ คำพูดที่กลั่นกลอง ออกมาจากตัวคุณ จะเป็นตัวนำทางและเปิดประตู ให้คุณได้พบเจอ

อนาคตของคุณ จะเลือกเดินไปในทางใด ประตูบานไหน ที่คุณจะเลือกเปิด พื้นฐานหลัก ที่คุณต้องจำให้ขึ้นใจ และความสำคัญเสมอนั่นคือ คำพูดและความคิด ที่คุณเลือก ที่จะสื่อสารกับตัวเอง นั่นเอง

ต้องอย่าเก็บและนำทุกๆอย่าง ทุกๆเรื่อง ทุกๆคำพูด มาใส่ใจ

สิ่งต่างรอบตัว ในแต่ละวัน เกิดขึ้นมากมาย มีผู้คนมากมาย อยู่รายล้อมรอบตัวเรา ภาพและเรื่องราว ของการใช้ชีวิต แม้กระทั่งความรู้สึก ที่มีต่อเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิต ของคนๆนั้น ล้วนแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นคนที่เรารู้จัก และคุ้นเคยเป็นอย่างดี หรือแม้กระทั่ง คนที่แค่ผ่านมา แค่ชั่วครั้งชั่วคราว

มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่ไม่มีใครที่จะเข้าใจ เรื่องราวของเรา ได้ดีเท่ากับตัวของเราเอง และตัวของเราเอง ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจ ในเรื่องราวของคนอื่นได้ว่า ผู้คนเหล่านั้น ทำไมถึงได้ตัดสินใจ หรือเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบนั้น ได้ดีเท่ากับตัวของคนเราเหล่านั้น

เพราะเหตุและผล หรือองค์ประกอบ ที่คนเหล่านั้นมี และเป็นตัวกำหนดขอบเขต และทำให้ผลสรุป ของการตัดสินใจ หรือเลือกดำเนินชีวิต ได้แสดงออกมา และเป็นไปในรูปแบบ ที่เราได้เห็น มันไม่เหมือนกัน

เปลี่ยนวิธีคิด 1

จำไว้ว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวของเราเลย

ความขัดข้องใจ หรือรำคาญใจ ที่เกิดขึ้นจากการเห็น หรือได้ยินได้รับรู้ ในเรื่องราวของคนอื่น แล้วตัวเรา นำมาใส่ใจนั่งคิดคำนวน ถึงเหตุและผล พยายามมองหา เพื่อให้ได้มาซึ่ง ความถูกต้อง หรือทิศทางที่ควรจะเป็น จนปล่อยให้อารมณ์ และความรู้สึก ถึงปัญหาต่างๆ ที่มันเป็นของคนอื่น เข้ามาบั่นทอนพลังงาน ที่มีอยู่ในตัวเราให้วุ่นวาย

เปลี่ยนวิธีคิดให้ได้ว่า เรานั้นจะเป็นผู้รับฟังที่ดี เราจะไม่นำคลื่นอารมณ์ และปัญหาต่างๆเหล่านั้น เข้ามาในห้วงอารมณ์ และความรู้สึกของเรา โดยเด็ดขาด เราจะไม่นำมาเปรียบเทียบ หรือนำมาเป็นปัญหาของตัวเอง เพราะโดยเนื้อแท้แล้วมันไม่ใช่ ต้องแยกแยะ และสร้างกรอบป้องกันตัวเอง ให้หนักแน่นและ เข็มแข็งเพื่อตัวเราเอง

ต้องอย่าคิดไปเอง หยุดมโนและอยู่กับความเป็นจริง

ปัญหาและความทุกข์ ในชีวิตของคุณ ความคิดและการจินตนาการ มีส่วนที่ส่งผลกระทบได้เป็นอย่างมาก ถ้าคุณเลือกคิดดี และมีประโยชน์ย่อมถือว่า เป็นพลังงานที่ดี หรือพลังงาน ในด้านบวก ย่อมเป็นเครื่องมือที่สำคัญ และมีคุณภาพ ที่จะเป็นตัวนำพาเรื่องราวดีๆ และคนดีๆ เข้ามาในชีวิตของคุณเองได้เสมอ

แต่ถ้าคุณ เลือกที่จะคิด และสร้างจินตนาการ ให้กับชีวิตด้วยพลังงาน ในด้านลบแล้วนั้น มันก็เป็นเหมือนตัวคุณ ได้สร้างอาวุธ และเครื่องมือ เพื่อเอาไว้ทิ่มแทง ตัวของคุณเอง ให้เจ็บปวด อยู่กับความคิดของตัวเอง ที่มโนและสร้างมันขึ้นมา เพื่อหาบทสรุป ตัดต่อเรื่องราวที่พบเจอ ในชีวิตของตัวเอง

เปลี่ยนวิธีคิด 3

หยุดคิดไปเอง ไม่คิดแทนคนอื่นเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

หยุดมโน หยุดจินตนาการเรื่องราว หยุดความคิด ที่มักจะคิดแทนคนอื่นเสมอว่า เค้าเหล่านั้นมีความคิด มีความต้องการเป็นอย่างไร ให้เปิดตาและเปิดใจให้กว้าง แล้วมองให้เห็นถึงสถานการณ์ ของความเป็นจริง ที่อยู่ตรงหน้าว่า จริงๆแล้วมันเป็นเช่นไร

ซึ่งบางครั้ง เวลาก็จะเป็นตัวช่วย ให้คุณได้พบคำตอบได้เอง ไม่ต้องรีบร้อน หรือด่วนสรุป มีหลายๆคนที่ ทำลายอารมณ์ของตัวเอง ทำลายบรรยากาศ ของคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างด้วยความคิด และการจินตนาการว่ามันอาจจะเป็นอย่างนั้น มันอาจจะเป็นอย่างนี่ ทั้งๆที่ตามความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้มีอะไรเลย ที่จะทำให้เรื่องราวต่างๆ มันดูแย่หรือเลวร้ายลงอย่างที่มันควรจะเป็น

บทส่งท้าย

เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่า ทำไมชีวิตของคุณ ถึงได้มีแต่ความวุ่นวาย ไม่จบไม่สิ้น ให้คุณลองกลับมานั่งคิด ทบทวน และถามตัวคุณเองดูว่า มันมีเรื่องที่เกี่ยวข้องจริงๆ ที่คุณจะต้องปรับเปลี่ยนแก้ไข หรือให้ความสนใจ ที่เป็นปัญหาของคุณจริงๆนั้นกี่เปอร์เซนต์

เมื่อคุณได้คำตอบแล้ว คุณจะเข้าใจบทความข้างต้นได้ เป็นอย่างดีว่า ตัวคุณนั้นตลอดระยะเวลา ที่คุณใช้ชีวิตจนถึงปัจจุบัน คุณได้เสียเวลา ไปกับเรื่องที่ ไม่สมควรมากมายเพียงใด ปรับเปลี่ยนวิธีในการใช้ความคิดเสียใหม่ เพื่อทำให้เวลาที่คุณมีเหลืออยู่นั้น ได้ใช้มันเพื่อตัวคุณเองได้อย่างคุ้มค่าจริงๆเสียที

บทความที่เกี่ยวข้อง