ความรักคืออะไร

0

ความรักคืออะไร เนื้อแท้ของความหมาย และการเข้าถึง ซึ่งคำว่าความรัก ของแต่ละคนย่อม เป็นสิ่งที่เข้าใจยาก และย่อมแตกต่างกัน ความรู้สึกของความต้องการ และความโหยหา สิ่งที่ทุกคนๆ เรียกว่าความรัก ยังเป็นเรื่องที่สร้างความสับสน และความไม่เข้าใจ ว่าจริงๆแล้วคำว่า ความรัก ความรักคืออะไร

มีหลายครั้งในหลายๆคน ที่ต้องพบกับความผิดหวัง ไม่สมหวัง กับความรักความสัมพันธ์ ที่มีผิดหวังซ้ำไปซ้ำมา จนเกิดความหวาดกลัว ในความรัก แต่บางคนก็ไม่เข็ด และก็มีความอดทนกับความเจ็บปวด ที่ต้องพบเจอกับความรักมาก จนสุดท้ายกลายเป็นความชินชา จนไม่เหลือความเชื่อมั่น ในความรักอีกเลยก็มี

ทำไมเมื่อเรามา ถกเถียงกันเข้าจริงๆ ในเรื่องของความรัก เคยสังเกตุมั้ยว่า การให้คำตอบ และการหาคำมาอธิบาย มันดูวกไปวนมา ไม่ทราบว่าเคยเจอ กับตัวเองมั้ยว่า เหมือนว่าเราจะรู้จัก กับความรักเป็นอย่างดี แต่ถ้าจะให้หา คำจำกัดความหรือคำที่ จะนำมาอธิบาย ในเรื่องของความรัก กลับกลาย เป็นหาคำอธิบาย ที่ไม่ลงตัวซักที

เพราะอะไร ในบทความนี้ เราจะมาร่วมกัน หาคำตอบเพื่อทำให้คน ที่สนใจและเข้ามาอ่านบทความนี้ เกิดความเข้าใจในเรื่องของความรัก ได้มากขึ้น ซึ่งผู้เขียนมีความเชื่อมั่นว่า หลังจากที่คุณได้อ่านบทความนี้ จบแล้ว  จะทำให้คุณนั้นเข้าใจ ในเรื่องของความรัก ได้ชัดเจนและเห็นภาพ ได้มากขึ้น

ความรักคืออะไร 1

จุดเริ่มต้นของความรัก

มนุษย์เรามองหาความรัก ที่ตัวเองนั้นมีความต้องการ โดยส่วนมาก มักจะมาจากคนอื่นๆ คนรอบข้าง ทุ่มเทความรู้สึก ความต้องการ เพื่อให้ได้รับ มิหนำซ้ำยังรอคอย อย่างมีคามหวัง เพื่อให้ได้ความรัก จากคนเหล่านั้น กลับมาสู่ตนเอง จนลืมนึกถึงความจริงที่ว่า จุดเริ่มต้นในความรักนั้น มันควรที่จะเริ่มต้นจากตรงไหน

จุกเริ่มต้นของความรัก มันไม่ได้อยู่ที่ไหน และที่ใครทั้งสิ้น มันคือตัวของเรานี่แหล่ะ ตัวเราเองคือจุดเริ่มต้น ที่จะทำให้เรานั้นมีความเข้าใจ และสัมผัสได้ ถึงความรักได้อย่างแท้จริง มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าเราไม่เรียนรู้ ที่จะรักตัวของเราเอง และเราเองจะนำความรัก ในรูปแบบใด ที่จะไปแสดง ให้คนอื่นนั้นรับรู้ ได้ถึงความรักของเรา

การเรียนรู้ที่จะรักตัวของเราเอง คืออะไร มันอาจจะฟังดูเหมือนไม่มีอะไร เพราะเราเอง ก็รักตัวเราอยู่แล้วในทุกๆวัน เราแต่งตัวเพื่อให้ดูดี สะอาดสะอ้าน ใช้ของดีๆมีราคา สวยหรู เพื่อให้ดูดีในสายตาของคนทั่วไป ถามว่าสิ่งนี้เราพยายามไปเพื่ออะไร เพื่อตัวเองหรือเพื่อคนอื่น

รักตัวของเอง คือการยอมรับตัวเอง อย่างไม่มีเงื่อนไข ในสิ่งที่เรามี หรือในสิ่งที่เราเป็น มนุษย์ทุกคนเกิดมา ล้วนมีความแตกต่าง ทุกคนมีความสวย และดูดีเป็นของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะมีผิวสีแบบไหน ไม่ว่าคุณจะสูงหรือจะเตี๊ย จะอ้วนหรือผอม ทุกคนล้วนมีเสน่ห์ และมีคุณค่าไม่ด้อยไปกว่ากันเลย

ความรักคืออะไร 2

ความเชื่อ ที่นำมาเป็นตัวตั้งว่า คนแบบนี้ถึงจะเรียกว่า ดูดี สวย มีเสน่ห์ ถามว่าเอาอะไรมา เป็นตัวจำกัดความว่า แบบนี้นั่นแหล่ะดีที่สุด มันก็แค่ความเชื่อ ที่ถูกหล่อหลอม และปฏิบิตตามกันมา จนบางครั้ง เรายังสงสัยเลยว่า มันใช่แล้วจริงๆหรือ

ตัวเราเองต้องเรียนรู้ ที่จะรักและยอมรับ ในตัวของเราเอง โดยไม่มีเงื่อนไข ให้ได้เสียก่อน คุณต้องไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ด้วยการนำความเชื่อ หรือการได้ยินจากสังคม หรือบุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือคนอื่นๆ ว่าคนเหล่านั้น คิดเห็นกันเป็นอย่างไร ในสิ่งที่คุณเป็น ในสายตา ของคนเหล่านั้น

สร้างความรัก ให้เกิดขึ้นด้วย การยอมรับตัวเอง ยอมรับกับธรรมชาติ ของตัวเอง ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ กับตัวเอง กับสิ่งที่ตัวเองนั้น กำลังเป็นอยู่ หยุดการเปรียบเทียบ สร้างคุณค่า ของตัวเองจากภายใน เมื่อคุณเรียนรู้ ที่รักและยอมรับตัวเองได้มากขึ้นแล้ว คุณจะค้นพบได้ว่า ในหัวใจของคุณนั้น มีความรักอยู่เปี่ยมล้น

ความรักคืออะไร 3

การเดินทางของความรัก

การเดินทาง ของความรัก ส่วนมากมักจะ เป็นไปในรูปแบบ ของความคาดหวัง และความต้องการที่มากล้น และเมื่อไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการ เส้นทางของความรัก ก็ดูมืดมนสิ้นหวัง หมดไร้ซึ่งสัญญาณแห่งชีวิต ไร้ความสุข หรือชีวิตรักไม่มีสีสัน มีแค่สีดำ หรือสีขาวที่แฝง ไปด้วยความเจ็บปวด และความรู้สึกที่ด้านชา

การเดินทาง ของความความรัก สิ่งที่เราควรต้อง นำติดตัวเราไป เสมอในการเริ่มต้นการเดินทาง ครั้งใหม่หรือทุกๆครั้งคือ การยอมรับ ในตัวตนของแต่ละคน อย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะทุกๆคน ทุกๆสิ่งล้วนมีชีวิต และธรรมชาติ ของการดำรงอยู่ที่ เป็นเอกลักษณ์ และตัวตนของตัวเอง

ไม่ว่าคุณจะอยู่ ในความสัมพันธ์แบบไหนก็ตาม ทุกๆความสัมพันธ์ มีมุมมองและความเชื่อ ในการแสดงออก ที่แตกต่างกัน การยอมรับในตัวตน ของคนอื่นจะส่งผลไป ในด้านที่ดีต่อ ความสัมพันธ์ที่คุณมี และสามารถใช้ได้ดี กับทุกๆความสัมพันธ์ เคารพมุมมอง เคารพความคิดเห็น ที่คนเหล่านั้นมีกับตัวเค้าเอง หรือแม้กระทั่งกับตัวคุณเอง

ไม่เก็บหรือรับทุกสิ่งทุกอย่างมา เป็นตัวแปรในการเชื่อมต่อ ความสัมพันธ์กับคนเหล่านั้น ที่อยู่รอบตัวของคุณ และเมื่อการเดินทาง ของความรักของเรา เกิดสะดุดหรือไม่สามารถ ที่จะไปต่อด้วยกันได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม การรับรู้และมองเห็นอย่างเข้าใจ และถอยออกมาอย่างมีสติ เพื่อการเริ่มต้นครั้งใหม่ ไม่ใช่เรื่องที่แปลกหรือน่ากลัว

การค้นพบความเป็นจริงและยอมรับ และความกล้า ในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้คุณและคนเหล่านั้น ได้มีโอกาส มองหาและเริ่มต้นชีวิต ของความรัก ที่เหมาะสมย่อมเป็น การกระทำที่กล้าหาญ ที่แสดงออกถึงความรัก และเคารพในตัวตนของตัวเอง และคนอื่นๆได้อย่างชาญฉลาด

ความรักคืออะไร 6

 

บทสรุปของความรัก

คนเราทุกคนเกิดมาทั้งชีวิตนี้ และยังตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน พร้อมกับลืมตารับแสงแรก จากการหลับไหล เรายังตื่นขึ้นมามีร่างกายของเรา และสัมผัสได้ ถึงลมหายใจเข้าออก สัมผัสได้ถึง สายลมที่มากระทบต่อร่างกาย และผิวสัมผัสของเรา นั่นทำให้เรารับรับรู้ ได้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่

มันเป็นเรื่อง ที่น่ายินดีที่เรายังอยู่ เพราะเราก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เรายังจะยังคงอยู่ ในสภาพแบบนี้ ดังข้างต้นไปได้อีกนานเท่าไหร่ ซึ่งไม่มีใครที่จะให้คำตอบได้ ดังนั้นในช่วงเวลา ที่ชีวิตของเรานั้นยังมี ความสุขเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยง ให้จิตวิญญาณของเราเดินต่อ ได้อย่างมีคุ้มค่าที่สุด

มนุษย์เราทุกคนควร ที่จะต้องมีความรัก ที่นำมาซึ่งความสุข ให้กับตัวเอง เราเป็นผู้เลือก ที่มีบทบาทที่สำคัญ ที่สุดในชีวิตของเรา เลือกที่จะใช้ชีวิต ให้มีความสุข หรือเลือกที่จะใช้ชีวิต ให้อยู่กับความทุกข์ เราเท่านั้นที่เป็นผู้เลือก เคยมีนะ บางคนเลือกที่จะทุกข์ เพราะทำเพื่อคนอื่น เพื่อตายไปหวังว่าจะได้ขึ้นสวรรค์

แต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ กลับมีแต่ความทุกข์ เหมือนตกนรกทั้งเป็น ซึ่งถ้าอยากขึ้นสวรรค์ ไม่ต้องรอให้ถึง วันที่เราตายจากโลกนี้ไปเลย เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต และมันไม่สามารถมองเห็นได้ หรือรู้ได้ ในทางกลับกัน แต่ถ้าเราเลือกที่จะทำให้ชีวิต และความรักของเรา มีความสุข นั่นก็เท่ากับว่าเราได้ขึ้นสวรรค์ ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

เพราะเรานั้นได้สร้างความสุข สร้างความรัก ให้กับตัวเราเอง และคุณยังเผื่อแผ่ ไปถึงคนอื่นๆ ได้ด้วยกับการเลือกของคุณ ที่คุณเลือกสร้างความสุข ให้กับชีวิตของตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องของความรัก คุณสามารถทำให้ทุกๆคนเห็น และเข้าได้เป็นรูปธรรมที่สำคัญมากว่า ความรักที่มีความสุขนั้น มันมีค่ามากมายเพียงใด

ความรักคืออะไร 5

รัก ยอมรับ และเข้าใจตัวเอง ให้ได้ รัก ยอมรับ และเข้าใจคนอื่นๆให้มากขึ้น ความรักที่แท้จริงควรที่จะต้องออกมาจากภายในของตัวเอง หยุดการโหยหาความรักจากคนอื่นเพื่อมาเติมเต็มให้กับตัวเอง รักษาและดูแลความรักของตัวเองให้แข็งแรง

เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่เข้าใจและต้องอยู่ ในทุกๆช่วงเวลาของชีวิต ก็คือตัวของคุณเองเท่านั้น มีความสุขและสนุกกั บการเดินทางของชีวิต ให้มากที่สุด อย่าลืมเราเกิดมา เพื่อทำชีวิตให้มีความสุข มากกว่ามีความทุกข์ ท่องไว้ให้ขึ้นใจนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

Head Stand ท่ายืนด้วยศรีษะ

0

Head Stand ท่ายืนด้วยศรีษะ หรือในภาษาสันสกฤต เรารู้จักกันในชื่อ Sirsasana โยคะอาสนะนี้ เป็นท่าที่มีพลังเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในท่าที่ยาก ในการฝึกฝน และหากทำไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการ บาดเจ็บที่สาหัสได้

อาสนะนี้ต้องใช้ ความแข็งแรง ของเอ็นร้อยหวาย ตั้งแต่แนวกระดูกสันหลัง และยังต้องใช้ไหล่ ที่แข็งและ มีความยืดหยุ่น และความแข็งแกร่ง ในส่วนบนของร่างกาย และสิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ในการเข้าอาสนะนี้ คือต้องแน่ใจว่าคุณมีสมาธิ และอยู่กับความรู้สึก ของร่างกายของตัวเอง และรับรู้ให้ได้มากที่สุด

การเข้าอาสนะ นั้นต้องทำด้วยการมีสมาธิ และมีความระมัดระวัง ในจุดที่ต้องให้ความสำคัญ และไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะตำแหน่ง ในการวางศีรษะ ที่เป็นจุดสำคัญ อย่างมาก เพราะจะเป็นส่วน ที่เติมและส่งพลัง ให้กับการฝึกโยคะ ของคุณได้ ในอาสนะนี้

นอกจากนั้น การทำ Head Stand (ท่ายืนด้วยศรีษะ) นี้ยังต้องพัฒนา ความแข็งแกร่งของแกนกลาง และร่างกายทั้งหมด ตั้งแต่หัวไหล่ จนถึงปลายนิ้วเท้า ซึ่งเป็นการรวมจุดพลัง ทั้งหมดที่จะช่วย ให้ปรับสมดุล ในการทรงตัว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เนื่องจากการฝึกอาสนะนี้ เป็นอาสนะขั้นสูง ดังนั้นจึงมีข้อที่ควรระวัง สำหรับผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยง เช่น 

  • มีอาการปวดคอ ปวดหัวไหล่ หรือปวดบริเวณ แนวกระดูกสันหลัง
  • โรคกระดูกพรุน
  • โรคความดันโลหิตสูงหรือต่ำ
  • ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ

และในผู้หญิง ที่มีวันนั้นของเดือน ควรที่จะหลีกเลี่ยง ในการฝึกท่านี้ เพราะมันจะก่อให้เกิด การรบกวนการไหลเวียนของระบบเลือด ภายในร่างกาย ที่ขัดจากพฤติกรรม ตามธรรมชาติ ดังนั้นควรจะรอ ให้พ้นช่วงดังกล่าวไปก่อน แล้วค่อยกลับมาฝึกใหม่

Head Stand ท่ายืนด้วยศรีษะ Step by Step

Step 1

head stand 1

  • เริ่มต้นด้วย ท่านั่งเพชร Vajrasana วัชราสนะ (Thunderbolt Posture)
  • โน้มต้วไปข้างหน้า นำข้อศอกทั้งสองข้าง วางในระดับเดียวกันด้านหน้า บริเวณหัวเข่าทั้งสองข้าง  วัดความกว้างของข้อศอก โดยการวางข้อศอก เป็นฐานด้านใน โดยวัดความกว้าง โดยการนำมือ ทั้งสองสลับจับข้อศอก ฝั่งตรงข้าม เพื่อเป็นการจัดระดับความกว้าง ของการวางข้อศอกที่ถูกต้อง
  • เมื่อได้ระดับดับ ความกว้างของข้อศอกแล้ว จัดตำแหน่งให้มั่นคง นำมือทั้งสองข้าง ประสานกัน ไว้ด้านหน้าล้ำขึ้นไปเป็นรูปสามเหลี่ยม  ประสานนิ้วมือของคุณ เปิดฝ่ามือและนิ้วหัวแม่มือ โดยที่วางนิ้วก้อยไว้ที่พื้น เพื่อให้เป็นฐานของมือให้เกิดความมั่นคง

Step 2

head stand 2

  • จากนั้นวางส่วนบน ของศรีษะไว้บนเสื่อ โดยที่มือทั้งสองล้อมรอบ บริเวณศรีษะด้านหลังไว้ เพื่อพยุง ยกสะโพกขึ้น และเหยียดขาให้ตรง โดยที่ลำคอและหลัง เป็นแนวเส้นตรงไม่โค้งงอ
  • เดินเท้าทั้งสอง เข้าใกล้กับศรีษะ ให้มากเท่าที่ทำได้ ยกสะโพกให้สูงขึ้น เหนือหัวไหล่ จนรู้สึกน้ำที่เท้า ทั้งสองเริ่มเบาขึ้น
  • ค่อยๆงอเข่าทั้งสอง เข้าหาหน้าอก น้ำหนักตัวทั้งหมด จะอยู่ในอวัยวะ ที่ติดพื้นในระดับที่สมดุล 3 จุด คือ  ส่วนบนของศรีษะที่วางที่พื้น ข้อศอกทั้งสอง ที่วางที่พื้นปรับสมดุล น้ำหนักให้เท่ากัน ไม่ถ่ายเทหนัก ไปทางใดทางหนึ่ง โดยเฉพาะบริเวณต้นคอ ต้องไม่โค้งและบิดเบี้ยว

head stand 4

Step 3

  • อยู่ในท่านี้ประมาณ 3 ลมหายใจเข้า-ออก เมื่อรู้สึกเริ่มจัดการ กับความสมดุล ของร่างกายได้แล้วนั้น จึงค่อยๆเหยียดขาทั้งสองข้างตรง ส่งขึ้นหาเพดาน
  • เกร็งกระชับแกนกลางลำตัว โดยที่ต้องระวังไม่ให้ หลังแอ่นหรือก้นโด่ง ขมิบก้น ส่งลำตัวขึ้นจากฐาน ที่อยู่ติดพื้น เกร็งกระชับเท้า ทั้งสองแนบชิดมีพลัง ส่งความรู้สึก ไปจนถึงจมูกเท้า เพื่อเป็นการช่วย ดึงแกนกลางลำตัวให้ตั้งตรง

ขั้นตอนการออกจากอาสนะ

  • เริ่มจากการงอเข่า ทั้งสองช้าๆ เข้ามาหาสะโพก ต่อด้วยหน้าอก อยู่ในตำแหน่งนี้สักครู่
  • จากนั้นค่อยๆ ลดเท้าลงมาแตะที่พื้น อย่างช้าๆ ไม่ต้องเร่งเรีบ
  • นั่งพักในท่าเด็ก (Child Pose) ผ่อนคลาย ไม่เกร็งร่างกาย ปล่อยตามสบาย หายใจเข้าออกช้าๆ อย่าเพิ่งรีบเงยหน้าและลุกขึ้นนั่ง จนกว่าจะรู้สึกพร้อม แล้วค่อยกลับขึ้นมานั่ง แบบในท่าที่เริ่มต้น

ข้อสังเกตุ

การเริ่มฝึกอาสนะ ในช่วงแรกๆ สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่ม ขอแนะนำให้ใช้ตัวช่วย ในการฝึก คือ ฝึกโดยการใช้ผนัง เป็นตัวช่วยรองรับ การเรียนรู้การปรับสมดุล ในการขึ้นท่า และการทรงตัว เพื่อให้ผู้ฝึก มั่นใจได้ว่าในทุกครั้งๆ ของการฝึกนั้น จะไม่เกิด การถ่ายเทน้ำหนัก ที่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บ บริเวณต้นคอ เพราะเป็นจุดที่อ่อนโยนที่สุด ที่ต้องระวัง

ให้ฝึกในการดึง การทรงตัว และดึงพลังจากแกนกลาง โดยการกด จากข้อศอกด้านใน แล้วดันขึ้นสู่แกนกลาง ของลำตัวเพื่อเสริมฐาน ความแข็งแรงให้กับผู้ฝึก เวลาอยู่ในท่า ต้องใช้แกนกลาง ของลำตัวตลอดเวลา สูบสะดือของคุณ ให้ใกล้กับกระดูกสันหลัง ให้เป็นในแนวเดียวกัน

การฝึกและเพิ่มความแข็งแรง ให้กับหัวไหล่ ก็ถือว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะหัวไหล่ที่แข็งแรง ก็ช่วยในการรับน้ำหนัก และการเข้าอาสนะนั้นมีความมั่นคง และสมดุลพร้อมทั้ง จะทำให้อยู่ในอาสนะได้นานขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

ท่าโยคะ ฝึกท่าหนุมาน

0

ท่าโยคะ ที่ใช้เพื่อ ฝึกในการเข้า ท่าหนุมาน Monkey Pose-Splits Pose เพื่อให้ร่างกาย ได้เกิดการยืดเหยียด ก่อนที่จะเริ่มเข้าท่าฝึก โดยที่ไม่ทำให้เกิด อาการบาดเจ็บ และทำให้การอยู่ในท่า ให้เกิดความสมดุลมากที่สุด ท่าที่นำมาเป็นแบบในการฝึก เมื่อผู้ฝึกได้ฝึก เป็นประจำจะพบว่า การเข้าท่า หนุมาน ในครั้งต่อไป จะเริ่มเข้าท่าได้ง่ายขึ้น ตามลำดับ

ฝึกท่าหนุมาน ท่าโยคะ ท่านี้จะต้องใช้เวลา ขึ้นอยู่กับว่าร่างกาย ของแต่ละคน ที่มีความยืดหยุ่น ที่แตกต่างกัน บางคนอาจต้องใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าที่จะเข้าอยู่ในท่าได้ ผู้ฝึกจะต้องจำไว้ อย่างหนึ่งว่า ห้ามใจร้อนเด็ดขาด โดยเฉพาะ เวลาที่มีจำนวนผู้ฝึก ในห้องฝึกหลายคน ซึ่งผู้ฝึกบางคน อาจจะเข้าท่าได้ง่าย ก็ขออย่าได้ใจร้อน

ขอให้ตั้งใจฝึก อย่างต่อเนื่อง และอย่าถอดใจ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จของเรา จะเป็นจริงขึ้นมาได้ เรียนรู้และเข้าใจร่างกาย ของตัวเองให้มากๆ ให้เวลากับร่างกาย มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะเกิดอาการเจ็บปวดบ้าง แต่ก็จะเกี่ยวข้อง กับบริเวณกล้ามเนื้อ ที่ไม่ได้รับการยืดเหยียด มาก่อนนั่นเอง ค่อยๆเป็นค่อยๆไป

ท่าโยคะที่ใช้ฝึกเพื่อเตรียมร่างกาย เพื่อการเข้าท่าหนุมาน

Pyramid Pose

ท่าพีระมิด หรือท่ายืดเหยียดขาด้านข้าง แบบลึกแบบโดนจุดกล้ามเนื้อ เป็นลักษณะของขาในการยืน ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของขา พร้อมทั้งช่วยยืดกระดูกสันหลัง เอ็นร้อยหวาย ไหล่ และสะโพก นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่ม ความสมดุล และท่าทาง ในการจัดวางตำแหน่ง ของร่างกายในผู้ตัวฝึก ได้เป็นอย่างดี

Step to the pose

pyramid pose 1

  • ยืนโดยให้เท้าข้างหนึ่ง อยู่ข้างหน้าห่างจากขาอีกข้างหนึ่ง ประมาณสามฟุต นิ้วเท้าชี้ไปข้างหน้า และพับลำตัวจากเอวลง ไปข้างหน้า เหนือขาหน้า โดยให้กระดูกสันหลังยืดยาว และยกหน้าอกและลำตัวขึ้น ระวังอย่าให้สะโพกเบี้ยว โดยสามารถวัดโดยนำมือมาจับบริเวณสะโพก เพื่อจัดระดับให้สะโพกขนานเท่ากัน

Pyramid 2

  • วางมือบนบล็อคที่ความสูง ตามความต้องการของผู้ฝึก เพื่อช่วยปรับระดับ ในการยืดลำตัวและพับลำตัว ให้ใกล้ต้นขามากที่สุด หรือถ้าร่างกายและขามีความยืดหนุ่นเพียงพอสามารถที่จะวางมือทั้งสองไว้บนพื้น โดยที่ให้เท้าหน้าอยู่ในตำแหน่งเดิม
  • กล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างเกร็งกระชับ สะโพกซ้ายและขวา ต้องมีระดับที่ตรงกัน อย่าให้สะโพกเบี้ยว อาจจะใช้วิธีการวัด โดยนำมือจับสะโพก ทั้งสองข้างให้ตรงกันก่อน แล้วค่อยๆพับลำตัวลงให้ใกล้ต้นขา

Arrow lunge Pose

การฝึกท่านี้ จะเพิ่มความยืดหยุ่น ของสะโพก การทำท่า Arrow Lunge จะช่วยเสริม การยืดขยาย และการงอของสะโพกได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นกุญแจที่สำคัญ เพื่อเตรียมร่างกาย สำหรับผู้ที่ต้องการ ฝึกการเข้าสู่ท่า Monkey Pose-Splits Pose  (Hanumanasana)

Low lungh all

Step to the pose

  • เริ่มจากท่า Downward Facing Dog ให้นำเท้าซ้าย ก้าวไปด้านหน้า วางระหว่างมือ โดยตำแหน่งข้อเท้าซ้าย ต้องอยู่ใต้เข่าซ้าย ของคุณให้เป็นแนวตั้งฉาก
  • วางเข่าขวาของคุณ ไปที่เสื่อ หลังเท้าขวาแนบติดพื้น หย่อนต้นขาข้างขวาให้ใกล้พื้น มากที่สุดเพื่อเป็น การยืดต้นขาขวา
  • วางมือทั้งสองข้าง ข้างเท้าซ้ายของคุณ ยกหน้าอกขึ้น หลังไม่โค้งงอ สายตาและ ใบหน้ามองไปด้านหน้า หรือถ้าร่างกาย มีความยืดหยุ่นพอ อาจจะนำมือทั้งสอง มาวางไว้บริเวณต้นขาซ้าย เพื่อทิ้งสะโพก และต้นขาด้านขวา ได้ใกล้พื้นได้ลึกยิ่งขึ้น
  • อยู่ในท่า หายใจเข้าออกลึก ๆ ประมาณ 5-7 ครั้งในแต่ละข้าง

Half Split Pose

การฝึกท่านี้ เป็นการฝึกร่างกายเพื่อการ ยืดเอ็นร้อยหวาย ที่ดีเยี่ยม พร้อมทั้งยังช่วยยืดน่อง ได้ดีอีกด้วย  การฝึกท่า Half Split เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อีกหนึ่งท่า เมื่อผู้ฝึกต้อง เข้าสู่อาสนะ Hanumanasana

ยืดเหยียดกล้ามขาหลัง

Step to the pose

  • ต่อเนื่อง จากท่า Low Lunge ให้ถ่ายน้ำหนักของคุณ ไปข้างหลัง พร้อมทั้งเหยียดขาหน้าให้ตรง และกระดกข้อเท้าหน้าของคุณ เป็นตั้งฉาก เพื่อเพิ่มการยืด ของกล้ามเนื้อหลังขา ได้มากขึ้น
  • ขาด้านหลังให้งอตั้งฉาก 90 องศา จากบริเวณสะโพก พับลำตัวของคุณไปข้างหน้า หลังเป็นเส้นตรง ไม่งอหลัง พยายามแนบหน้าท้อง ให้ใกล้ต้นขามากเท่าที่ ร่างกายมีความยืดหยุ่น
  • อยู่ในท่า หายใจเข้าออก ข้างละ 5-7 ครั้ง จากนั้นสลับกลับไปทำอีกด้าน

Lizard Pose

ท่านี้คล้ายกับ การฝึกท่า Low Lunge เพียงแต่ว่า ท่านี้จะเพิ่มความยืดหยุ่น ของสะโพก ได้มากขึ้นจากท่า Low Lunge การฝึกท่า Lizard Lunge เป็นการยืดสะโพก ให้ลึกขึ้น เพราะจะได้ผล ในเรื่องของการถ่ายน้ำหนัก ของต้นขาที่อยู่ในตำแหน่ง ที่ใกล้พื้นมากยิ่งขึ้น นั้่นเอง

Lizard Pose all

Step to the pose

  • จากท่า Low Lunge ให้เอามือทั้งสองข้าง วางในตำแหน่ง ไปด้านในของเท้าหน้า ตรงบริเวณกลางของเสื่อ แล้วเดินออกไป ที่ขอบด้านหน้า ตามความยาวของเสื่อ
  • วางฝ่ามือ ทั้งสองของคุณไว้ที่พื้น หรือถ้าร่างกาย มีความยืดหยุ่น เพียงพอสามารถ วางข้อศอกลงที่พื้น พร้อมทั้งหย่อนต้นขาด้านหลัง ให้ใกล้พื้นที่สุด
  • กลั้นหายใจข้างละ 5-7 ครั้ง

Pigeon Pose Variations

Pigeon Pose หรือเป็นที่รู้จักว่ากันดีว่า ท่านกพิราบ หมุนไปและเพิ่มการบิดมา ที่กระดูกสันหลัง เหมาะสำหรับคลายกล้ามเนื้อส่วนหลัง และปล่อยความตึงเครียด

Pigeon Pose Variations all

Step to the pose

  • เริ่มจากท่านกพิราบ แบบคลาสสิก โดยให้ขาซ้ายไปข้างหน้า ส่วนขาขวายื่นเหยียดตรง ไปด้านหลัง หลังเท้าขวาติดเสื่อ วางท่อนแขนขวาส่วนล่าง และข้อศอก ไว้ที่บริเวณกลางเสื่อ ที่ด้านหน้าของหน้าแข้งซ้าย
  • จากนั้น หมุนลำตัวไปทางซ้าย งอขาขวา วาดมือซ้าย ไปด้านหลัง เพื่อไปจับปลายเท้าขวา และพยายามกดส้นเท้าขวา ให้ใกล้สะโพกขวา ให้มากที่สุด พร้อมทั้งงอข้อศอกขวา เพื่อเป็นการยืดต้นขาขวา
  • หายใจเข้า เพื่อยืดกระดูกสันหลัง ยกลำตัวขึ้นให้ห่างจากพื้น อย่าให้ลำตัวจม  หายใจออกให้บิดหัวไหล่ บิดลำตัวขึ้นเล็กน้อย สายตามองตามมือซ้าย
  • ช่วงระหว่างอยู่ในท่า หายใจเข้าผ่อนคลายขาขวา หายใจออกกดเท้าขวา ให้ใกล้สะโพกมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความพร้อมของร่างกาย โดยที่หัวเข่าต้องไม่รู้สึกเจ็บหรือขัด

ข้อสังเกตุเพิ่มเติม

อีกเรื่องที่สำคัญ การใช้อุปกรณ์เพื่อ ช่วยพยุงการวางน้ำหนักตัว หรือเพื่อรองรับ การยืดเหยียด ที่เป็นไปตามขั้นลำดับ ถือว่าช่วยได้มาก เช่น การใช้บล็อค การใช้ผ้ามาพับซ้อนกัน เป็นต้น การเข้าท่าหนุมาน และจุดที่จะทำให้ผู้ฝึกอยู่ในท่าได้นานและสบายขึ้น

ความสำคัญ คือ ขาทั้งสองข้างจะต้อง ยืดเหยียดไปในทางที่เท่าเทียมกัน และสมดุล สังเกตุได้จาก สะโพกของเราทั้งสองฝั่ง จะติดแนบกับพื้นเสื่อ ในระดับที่เท่ากัน ดังนั้น การฝึกอาจต้องใช้ความอดทน โดยเฉพาะถ้าร่างกายยังไม่ยืดเหยียดเพียงพอ

บทความที่เกี่ยวข้อง

One-Legged King Pigeon Pose ท่านกพิราบ

0

โยคะท่า One-Legged King Pigeon Pose ท่านกพิราบขาเดียว หรือในสันสกฤตเรียก Eka Pada Rajakapotasana เป็นท่าโยคะอาสนะ ที่มีประโยชน์อย่างมาก สำหรับผู้ฝึก ที่ต้องการฝึก เพื่อเปิดสะโพก เพื่อเป็นการยืดเอ็นร้อยหวาย และยืดขยายขาหนีบ

อาสนะท่านี้ จะทำให้เกิดความผ่อนคลาย ในอวัยวะช่วงล่าง ทำให้เกิดการไหลเวียน ของระบบเลือดได้ดี เมื่อฝึกเป็นประจำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวัยทำงานที่ต้องนั่งประจำ ไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย จนบางครั้งทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า และเส้นยึด ดังนั้นท่านี้จึงเหมาะสำหรับ ฝึกเพื่อช่วยบรรเทา

One-Legged King Pigeon Pose Step by Step

Step 1

One-Legged King Pigeon Pose 1

เริ่มต้นด้วยการนั่ง บนเสื่อโยคะ โดยให้ขาทั้งสองข้าง เหยียดตรงไปข้างหน้า งอเข่าขวาแล้วจับข้อเท้าขวา ดึงเท้าขวาเข้าหาตัว จนส้นเท้าขวาแตะขาหนีบซ้าย โดยเข่าขวาและหน้าแข้งขวา ด้านนอกควรวางราบติดกับพื้น

จากนั้นงอเข่าซ้าย แล้วดึงเท้าซ้ายไปข้างหลัง โดยเหยียดขาซ้าย ไปด้านหลังบนพื้นเสื่อ เพื่อให้ส่วนบนของเท้าซ้าย เข่าซ้าย และต้นขาซ้ายกดลงไป แนบที่เสื่อโยคะ

Step 2

One-Legged King Pigeon Pose 2

ทิ้งน้ำหนักต้นขาซ้าย ลึกลงไปแนบติดที่พื้น กดก้นขวาของคุณ ลงมาให้ติดพื้นมากที่สุด ตำแหน่งของส้นเท้าขวา ต้องอยู่ ตรงด้านหน้าสะโพกข้างซ้าย เมื่อมองไปข้างหลัง ตำแหน่งของขาซ้าย ที่ยื่นออกมา ควรอยู่ในแนวเดียวกับสะโพกซ้าย ขาซ้ายไม่ควรหัน ไปทางขวาหรือซ้าย

นำมือทั้งสอง วางข้างลำตัวด้านข้าง เพื่อช่วยพยุงลำตัวไม่ให้เอน ไปข้างหน้ามากจนเกินไป จากนั้นกดกระดูกก้างปลา ของคุณลงไปที่พื้น เพื่อช่วยให้ลำตัวมั่นคง คุณสามารถโน้มตัว ไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อช่วยคลายสะโพก ได้เพื่อให้สบายที่สุด และอยู่ที่นี่ประมาณ 3-5 ลมหายใจเข้า-ออก

Step 3 

One-Legged King Pigeon Pose 3

จากนั้นเมื่อคุณอยู่ ในท่านี้ ได้โดยไม่ต้องใช้มือ และสามารถทรงตัวได้แล้ว ให้ยกกระดูกอกขึ้น เพื่อยืดลำตัว ให้ตั้งฉากกับพื้น ยกมือขึ้นจากพื้นข้างๆ และวางฝ่ามือบนเอว ดันหน้าอกไปข้างหน้า เหยียดคอไปข้างหลัง ให้ไกลที่สุดเท่าที่ จะทำได้ งอข้อศอกขณะวางมือไว้ที่เอว เพื่อช่วยไหล่ ให้ผ่อนคลาย ขยายหน้าอกให้ลึกขึ้น

Step 4  Full Pose

Full Pose

เมื่อสามารถเข้าท่าได้อย่างมั่นคงแล้ว ให้ดันอุ้งเชิงกราน ของคุณลงไปที่พื้น ในขณะที่คุณยกเท้าหลังขึ้น โดยที่ขาหลังควรทำมุม 90 องศา จากตำแหน่งหัวเข่า ในขณะที่หน้าแข้ง และเท้าของคุณ ควรตั้งฉากกับพื้น ดันต้นขาของขาหลังให้ชิดกับเสื่อ ให้มากที่สุด

จากนั้น ให้เอี้ยวตัวไปด้านซ้าย นำมือข้างซ้ายไป จับส่วนบนของเท้าหลัง แล้วดึงเท้าหลังลงมา เล็กน้อยเพื่อ เพิ่มการยืด ที่ด้านหน้าของสะโพก จากนั้นนำมืออีกข้างหนึ่ง ขึ้นไปจับปลายเท้า เมื่อมือทั้งสองสามารถ จับปลายเท้าได้แล้วให้งอศอกลงมา ด้านหลังศีรษะ เอนหลังแล้วเอนศีรษะไปด้านหลัง แอ่นอกยืดขยายอกส่วนบน เชยคางมองบน

ข้อสังเกตุ

สำหรับผู้เริ่มต้นฝึก ในท่านี้ปัญหาที่จะต้องเจอ คือสะโพกไม่เปิด และเอ็นร้อยหวายตึง ดังนั้นจะต้องใช้เวลา พอสมควรในการคลายข้อต่อเหล่านี้ ดังนั้นช่วงแรกๆ การวางขาของคุณ อาจจะใช้ตัวช่วย คือนำผ้าห่ม มารองรับน้ำหนักตัว แล้วให้ร่างกายค่อยๆ เรียนรู้การคลายตามจุดต่างๆ

ช่วงแรกๆ คุณอาจจะไม่จำเป็นต้อง ตั้งลำตัวตรง ให้คุณโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วพยายามเอนศีรษะ ลงไปบนเสื่อ โดยให้ยื่นแขนทั้งสองข้าง อยู่ข้างหน้าคุณบนพื้นเสื่อ แต่หากคุณยังไม่สามารถ นอนราบกับพื้นได้ คุณยังสามารถหนุนศีรษะ ด้วยผ้าห่มโดยพับระดับตามที่ คุณต้องการ

อยู่ในท่าได้แล้ว เริ่มหายใจเข้าออก ให้ผ่อนคลายและคงอยู่ ในตำแหน่งนี้ไว้ประมาณ 5-10 ลมหายใจเข้า-ออก เพื่อให้สะโพก และเอ็นร้อยหวายคลายออก โดยสลับทำในแต่ละข้าง ในเวลาที่เท่าๆกัน จากนั้นคุณจึงเริ่มฝึก ขั้นตอนอื่นต่อไป เพื่อพัฒนาการฝึก ให้เข้าไปในท่าที่สมบูรณ์

เพิ่มเติมอีกนิด ในขณะที่คุณเตรียมตัว ที่จะเอื้อม ไปข้างหลังและ จับนิ้วเท้าหลังของคุณ คุณสามารถ ฝึกทำสิ่งนี้ได้ โดยใช้เข็มขัดโยคะ ทำเป็นวงเล็กๆ แล้วพันรอบเท้าหลัง ของคุณ

จากนั้นคุณ ก็จะสามารถจับ ปลายเข็มขัดเพื่อค่อยๆ ดึงเท้าขึ้นโดยงอเข่า ไปข้างหลัง ฝึกไปซักระยะ คุณค่อยๆ เลื่อนมือลงไปที่เข็มขัด จนคุณจับนิ้วเท้า ได้ด้วยมือของคุณเอง

บทความที่เกี่ยวข้อง

Monkey Pose-Splits Pose

0

Monkey Pose-Splits Pose ท่านี้เป็นการแยกขา ทั้งสองข้างออกจากกัน ไปข้างหน้าและข้างหลัง เป็นลักษณะของ การเลียนแบบการกระโดด ที่มีชื่อเสียงที่เป็นเรื่องราว ของหนุมาน ที่ขาข้างหนึ่งอยู่ ปลายเท้าอยู่ด้านใต้ของอินเดีย และปลายเท้าอีกด้านหนึ่ง ไปยังเกาะศรีลังกา

Hanumanasana ชื่อนี้มาจากคำภาษาสันสกฤต หนุมาน (คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดู ที่มีลักษณะคล้ายลิง) และเป็นการบ่งบอกถึง อาสนะ (ท่าทาง) ก็เป็นการรำลึกถึงการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ของหนุมานนั่นเอง

การฝึกท่า monkey Pose-Splits Pose ในช่วงแรกๆ เราจะอาจจะเน้นการฝึก ไปในเรื่องของการยืดเหยียด โดยเฉพาะ ให้ความสำคัญกับการยืดเหยียดขา ด้านที่ยืดไปข้างหน้ามากกว่าขา ที่เหยียดไปด้านหลัง แต่ความเป็นจริงแล้ว การฝึกท่าหนุมานนี้ จำเป็นต้องฝึกให้เกิดการยืดเหยียดขา ทั้งสองข้างไปพร้อมๆกัน

โดยจุดที่ฝึก เพื่อให้เกิดการยืดเหยียด ขาที่ยืดเหยียดไปด้านหน้า จะเน้นการยืดเหยียดของ Hamstring ่ส่วนขาที่ยืดเหยียดไปด้านหลัง จะเน้นการยืด และการเปิดสะโพก ให้ยืดหยุ่น เมื่อไหร่ก็ตามที่ ขาทั้งสองข้าง เกิดการฝึกและยืดเหยียดได้สมดุล ผู้ฝึกก็จะสามารถอยู่ในท่า ได้สบายมากขึ้น

Monkey Pose Step by Step

Step 1

monkey pose-splits pose 1

เริ่มต้นด้วยการ คุกเข่าบนพื้น ก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า ประมาณหนึ่งฟุต อยู่ในบริเวณด้านหน้าเข่าขวา แล้วหมุนต้นขาซ้าย ออกไปด้านนอก มือทั้งสองยังคงจับที่สะโพก เพื่อการทรงตัว

Step 2

monkey pose-splits pose 2

หายใจออก และเอนลำตัวไปข้างหน้า โดยกดปลายนิ้วมือทั้งสอง ลงกับพื้น เพื่อช่วยในการทรงตัว ค่อยๆ เลื่อนเข่าขวาไปข้างหลัง ยืดเข่าให้ตรง ตั้งส้นเท้าขวา จมูกเท้าขวาแตะพื้น เพื่อจัดตำแหน่งสะโพก ให้ตรง และในขณะเดียวกัน ก็ลดต้นขาซ้ายลงไปที่พื้น

Step 3

monkey pose-splits pose 3

เริ่มดันส้นเท้าซ้าย ออกจากลำตัวของคุณ ไปด้านหน้า  ค่อยๆ หมุนต้นขา เข้าด้านใน ขณะที่กำลังเหยียดตรง เพื่อดึงกระดูกสะบ้า ให้ชี้ตรงขึ้นหาเพดาน ในขณะที่ขาหน้าเหยียดตรง ให้กดเข่าขวาไปข้างหลัง มือทั้งสองยังคงยันพื้น ข้างลำตัว เพื่อประคองและช่วยในการทรงตัว

จากนั้นค่อยๆ กดหน้าต้นขาขวา และหลังขาซ้าย (และฐานของกระดูกเชิงกราน) ลงไปที่พื้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าจุดศูนย์กลางของเข่าซ้าย ชี้ตรงขึ้นไปบนเพดาน

Step 4

monkey pose-splits pose 4

ให้สังเกตุดูด้วยว่า ขาหลังยื่นตรง ออกมาจากสะโพก (และไม่ทำมุมไปด้านข้าง) และศูนย์กลางของกระดูกสะบ้าหลังกดลงบนพื้นโดยตรง ให้ขาหน้าเกร็งกระฉับโดยยืดผ่าน ส้นเท้าแล้วยกปลายเท้า ขึ้นส่งไปทางเพดาน นำมือทั้งสองประกบเข้าหากันระหว่างอกท่าพนมมือ (Anjali Mudra)

Step 5

monkey pose-splits pose 5

อยู่ในท่านี้เป็นเวลา 30 วินาที ถึงหนึ่งนาที หรือนานเท่า ที่เราต้องการที่จะฝึก ในการออกจากท่า ให้กดมือของคุณลงกับพื้น หมุนขาหน้าออกเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ตั้งส้นเท้าหน้า กดจมูกเท้ากลัง ยกสะโพกขึ้น ไปที่ตำแหน่งเริ่มต้น จากนั้นสลับกลับไปทำอีกข้าง และทำซ้ำเป็นระยะเวลา ที่เท่ากัน

ข้อสังเกตุ

สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มฝึก และเรียนรู้ท่านี้ โดยส่วนมาก มักจะไม่สามารถเอาขา และกระดูกเชิงกราน ลงกับพื้นได้ เพราะเกิดจากความตึง ที่หลังขาหรือ ขาหนีบด้านหน้า ดังนั้นขณะ ที่อยู่ในตำแหน่งของขา เมื่อเริ่มต้นฝึก สามารถใช้หมอนวางข้างหน้า หรือ Block ไว้ใต้กระดูกเชิงกราน โดยให้แกนยาวขนาน กับขาด้านในของคุณ

ในขณะที่คุณเหยียดขา ให้ค่อยๆ ปล่อยกระดูกเชิงกราน ลงบนหมอนข้าง หากหมอนข้างไม่หนาพอ ที่จะรองรับกระดูกเชิงกรานของคุณได้ ให้เพิ่มผ้าห่มที่พับอย่างหนา เพื่อรองรับให้ขา ได้เกิดการยืดเหยียด ได้อย่างผ่อนคลาย และไม่เกร็งมากจนเกินไป

สำหรับผู้ที่เคยฝึกโยคะ

สำหรับผู้ที่ฝึก จนสามารถเข้าอยู่ ในอาสนะได้แล้ว ให้ลองเปลี่ยนตำแหน่ง ของแขน โดยส่งแขนตึง ขึ้นเหนือศรีษะ เหยียดตรงขึ้นหาเพดาน สายตามองตามมือ โดยยืดหลังแขนให้ยาวขึ้น ดึงซี่โครงหลังส่วนล่าง และดึงซี่โครงหลังออกจากส่วนบน ของกระดูกเชิงกราน

ฝ่ามือทั้งสอง ประกบเข้าหากัน เป็นท่าพนมมือ โดยพยายามส่งปลายนิ้วก้อย ให้ตรงส่งขึ้นหาเพดาน ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แขม่วท้องดึงลำตัว ช่วงบนขึ้นแยกออกจาก ฐานลำตัวด้านล่าง เพื่อให้เกิดการยืดตัว ให้ได้เต็มที่ และเพิ่ม การกดกระดูกเชิงกราน ให้แนบติดพื้นให้ได้ มั่นคงที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง

วิธีระงับความโกรธ

0

“สติมาปัญญาเกิด” อารมณ์โกรธ โมโหฉุนเฉียว อาจทำให้เราขาดสติ จนบางครั้งทำให้เกิดปัญหา แล้วเกิดการสูญเสีย เวลาที่มีอารณ์โกรธ ขุ่นเคืองไม่พอใจ เป็นจุดที่ทำให้เราเปราะบาง ในเรื่องของเหตุและผล การเรียนรู้ถึง วิธีระงับความโกรธ จึงเป็นเรื่องที่ควร จะต้องให้ความสำคัญ และต้องหมั่นฝึกฝน ให้เป็นนิสัยเพื่อเอาไว้ใช้ เมื่อถึงเวลาที่จำเป็น

การควบคุมอารมณ์ เป็นสิ่งที่สำคัญ ในการใช้ชีวิตของเรา ในแต่ละวัน เพราะอะไร คุณเท่านั้น ที่จะเข้าใจได้ดี โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องเจอ กับสิ่งที่คุณนั้นไม่ชอบ และไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ หรือคุณต้องตกอยู่ กับสถานการณ์ ที่มันช่างก่อให้เกิดความผันแปร ทางด้านอารมณ์ ได้อย่างมากเสียเหลือเกิน

ในบางครั้งคุณเคยถามตัวเองมั้ย เมื่อเวลาที่คุณเห็นคนที่ สติหลุดควบคุมตัวเองไม่อยู่ เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ที่คุกกรุ่นอย่างเห็นได้ชัด มิหนำซ้ำยังแสดงออกมา ทางด้านการกระทำ ที่ก้าวร้าวและรุนแรง เมื่อคุณเห็นคนเหล่านั้นแล้วคุณคิดว่า คุณอยากที่จะเป็นคนแบบนั้นหรือไม่

ถ้าคำตอบที่คุณได้คือ “ไม่เราจะไม่เป็นคนแบบนั้นเด็ดขาด” เราจะไม่ยอมให้อารมณ์ มาอยู่เหนือเหตุผล ซึ่งมันอาจจะทำให้เรานั้นตกอยู่ ในจุดที่เสียเปรียบ และทำให้ต้องตก เป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ ที่มองเข้ามา เห็นและรู้สึกเหมือนที่คุณกำลังมองคนเหล่านั้นอยู่

6 วิธีระงับความโกรธ ที่ได้ผล

วิธีระงับความโกรธ 1

หายใจลึกๆ ยาวๆ

การควบคุมลมหายใจให้คงที่ และหายใจในจังหวะ ที่เท่ากันสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้คุณดึงสติ กลับมาได้เร็วที่สุด การฝึกการหายใจลึกๆยาวๆ และกำหนดความรู้สึก ไปในจังหวะการหายใจเข้าออก จะช่วยทำให้ร่างกาย ผ่อนคลายมากขึ้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม ที่คุณมีอารมณ์โกรธ การหายใจของคุณจะไม่ปกติ ออกซิเจนที่เข้าไปในสมองเกิดความผิดปกติ

ทำให้เกิดอาการเกร็ง และเริ่มสูญเสียการรับรู้ ในการควบคุมตัวเอง ดังนั้นลมหายใจ จึงเป็นสิ่งที่จะดึง ให้คุณนั้นกลับมาอยู่กับตัวเอง และทำให้ดึงสติกลับมาได้เร็วขึ้น

วิธีระงับความโกรธ 2

มองโลกในด้านบวก

การมองโลกในด้านบวก จะเป็นการสร้างพลังงาน ให้กับความคิดและชีวิตของคุณ ได้อย่างเรียบง่าย และสงบที่สุด เพราะหนทาง ในการใช้ชีวิต ของแต่ละคนนั้นมัน ไม่ได้เรียบง่ายเสมอไป ในหลายครั้ง มักจะมีเรื่องราวที่ก่อให้เกิดความสุขและความทุกข์ ควบคู่กันไปอยู่เสมอ

ถ้าคุณเลือกที่จะมองสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตของคุณ ในด้านบวกได้มากขึ้น มันจะเปรียบเสมือนแรงดึงดูด ที่จะดึงดูดพลังงานที่ดี ดึงดูดมุมมองความคิดที่ดี ไม่ทำให้คุณเกิดความรู้สึกท้อแท้ หรือหมดหวังในชีวิต ของคุณเอง และจะทำให้คุณ ลดภาวะของอารมณ์ ที่จะนำไปสู่การโกรธเคือง โดยขาดสติ

วิธีระงับความโกรธ 4

คิดทบทวนเหตุและผล

อารมณ์โกรธที่คุกกรุ่น และเคร่งเครียด มันยากที่จะทำให้เกิด การมองเห็นถึงแนวทาง ที่จะใช้แก้ไข กับสถานการณ์ที่ได้เจอ การคิดทบทวน มองหาเหตุและผล ของจุดต้นตอ ที่ทำให้เกิดปัญหา จะทำให้คุณเข้าใจ ถึงความเป็นมา มากขึ้น ว่ามันเกิดจากอะไร และมันควรที่จะต้องเป็น ไปในแบบใด

หลายๆครั้ง ที่คนเราเลือกที่ จะใช้อารมณ์เพื่อกลบเกลื่อน เพราะไม่ต้องการ ที่จะตกเป็นเป้า ของการถูกโจมตี หรือเป็นจำเลย แต่ถ้าเรามีสติ และเข้าใจถึงเหตุและผลของมัน และยอมรับมัน ในทางตรงกันข้าม คุณอาจจะพลิกตัวเอง กลับให้มาอยู่ในจุด ที่ได้เปรียบ อย่างน่าทึ่ง เพราะคุณได้พิสูจน์ว่า คุณเข้าใจและควบคุม ในสิ่งที่เกิดขึ้นได้

วิธีระงับความโกรธ 5

ปรึกษาพูดคุย

ในบางครั้ง เมื่อคุณลองคิดทบทวนก็แล้ว พยายามทำทุกอย่างก็แล้ว คุณก็ยังไม่สามารถ แก้ไขความรู้สึกที่มีได้ มันยังคงติดค้าง อยู่ในใจคุณเสมอ ว่าคุณได้ทำพลาดตรงไหนไป คุณลองหาคนที่ คุณสามารถที่ให้ความมั่นใจ และเชื่อใจได้ซักคน ลองแลกเปลี่ยน และพูดคุยถึงสิ่ง ที่มันอยู่ในใจของคุณ

เพื่ออะไร การเปิดใจ รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น มันจะเป็นตัวช่วย ที่ทำให้คุณได้มองเห็น ในมุมอื่นที่ไม่ใช่ มุมของคุณแต่อย่างเดียว ลองเปิดใจรับฟัง และแลกเปลี่ยน ถึงความคิดเห็น ของคนเหล่านั้น และของคุณว่า มันเป็นอย่างไร ไม่แน่นะคะ คุณอาจจะได้พบ กับคำตอบที่คุณต้องการก็ได้

ปล่อยวาง

รู้จักการปล่อยวาง

ปล่อยวางซะบ้างถือไว้ก็หนัก เรื่องจริงนะคะ คนเรามันจะถืออะไรไว้มากมาย ปล่อยมันลงบ้างค่ะ ปล่อยวางบ้าง อะไรที่มันร้อนมากๆถือไว้มือพองเปล่าๆค่ะ การปล่อยวางจะช่วยทำให้คุณ มีสติและให้ความสนใจ  กับสิ่งที่มีจำเป็นและมีความสำคัญ กับชีวิตของคุณจริงๆ

เรื่องบางเรื่อง คนบางคน ที่มีแต่สร้างปัญหา ปล่อยไปค่ะ อย่าไปเก็บมาครุ่นคิด หรือใส่ใจมากจนเกินไป บางสิ่งบางอย่างถ้ามันอยู่เหนือ การควบคุมของคุณ คุณไม่สามารถ ที่จะจัดการหรือ แก้ไขมันได้ ก็ต้องเลือกที่ จะต้องปล่อยมันไป ให้ตามกฎของธรรมชาติ หรือตามสภาพ ของความเป็นจริง และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเวลาไปค่ะ

ออกกำลังกายเรียกเหงื่อ

ออกกำลังกายเรียกเหงื่อ

การแสดงออก ทางด้านอารมณ์ความโกรธ ของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชอบที่จะใช้น้ำเสียง ชอบเสียงดัง ชอบตะโกน ชอบตะคอก หรือบางคนอาจร้องไห้ หรือบางคนอาจจะทำร้ายตัวเอง เป็นต้น เพื่อเป็นการช่วยระบายความอัดอั้น ทางด้านอารมณ์ออกมา เพราะมันไม่รู้จะทำยังงัยแล้ว

แต่ทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้น เป็นการแสดงออกทางอารมณ์โกรธ ที่ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ อยากให้คุณลอง เลือกการระบายออก โดยการออกกำลังกายค่ะ เพราะนอกจาก จะเป็นการช่วยระบายทาง ด้านอารมณ์ได้ดีแล้ว ยังมีประโยชน์ที่ส่งผลดีทางด้านสุขภาพ รูปร่างสัดส่วนที่ดูดี และกระชับมากขึ้น ถือว่าได้คุ้มค่ะ

บทส่งท้าย

รู้เท่าทันความรู้สึก และอารมณ์ของตัวเรา ทำได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายค่ะ แต่ถ้าเราทำได้ มันก็จะเกิดผลดี ต่อตัวเราเองและบุคคลรอบข้าง เพราะคงไม่มีใครชอบ ที่จะอยู่หรือใกล้ชิด กับคนที่มีแต่อารมณ์ฉุนเฉียว อยู่เสมอ และคุณเองก็คงไม่ชอบเช่นกัน ที่จะถูกมองเป็นตัวตลก ในสายตาของคนอื่น

บทความที่เกี่ยวข้อง

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน

ในปัจจุบันนี้ เราจะเห็นได้ว่า โรคภัย เชื้อโรคต่างๆ แวะเวียนเข้ามา สร้างความวิตกกังวล ให้กับเราได้มากทีเดียว ทำอย่างไรที่จะทำให้เรา มีร่างกายที่แข็งแรง ห่างไกลจากโรคร้าย เราสามารถสร้างได้นะคะ คือ เราต้องสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ให้กับร่างกายของเรา ด้วย การเลือกทานอาหาร “อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน”

การรับประทานอาหารที่ดี และมีประโยชน์ต่อร่างกาย เปรียบเสมือนของขวัญทางสุขภาพ ที่เราทุกคนสามารถที่จะเลือกทำได้ อะไรก็ตามที่เรารับประทานเข้าไป หรือหยิบใส่ปากของเรา จะเป็นสัญญาณที่จะบ่งบอกว่า เราจะมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงมากเพียงใด

อาหารถือเป็นตัวแปรหลัก ที่จะส่งผลโดยตรง กับสุขภาพของร่างกาย ภูมิคุ้มกันที่มีประโยชน์จากอาหาร ที่ทานเข้าไปแล้วช่วยเสริมสร้าง หรือช่วยกระตุ้น ให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แข็งแรงมากขึ้น ย่อมเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำให้กับตัวเองเป็นด่านแรก และเป็นด่านที่สำคัญ กว่ายาชนิดใดๆ

16 ชนิด อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน ที่มีประโยชน์

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน

1.ปลาทูน่า

ปลาทูน่า อุดมไปด้วยโอเมกา 3 วิตามินบี โพแทสเซียม ธาตุซิลิเนียม ปลาทูน่าช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกันได้รับสารอาหารที่ดี ลดคอเลสเตอรอลในเลือด บำรุงหัวใจ ช่วยให้เลือดสูบฉีดได้ดี ลดความดันโลหิตสูง ลดอาการอักเสบของร่างกาย ช่วยให้การทำงานของอวัยวะ ทั้งหมดดีขึ้น

ป้องกันโรคภูมิต้านตนเอง เสริมสร้างระบบภูมคุ้มกัน นอกจากนั้นสารต้านอนุมูลอิสระ ในปลาทูน่ายังช่วย ป้องกันโรคมะเร็ง และโรคภูมิแพ้ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง และบำรุงผิวพรรณให้สดใส

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน 2

2.ปลาหมึก

แม้ว่าจะอุดมไปด้วยไขมัน แต่ปลาหมึกมีโปรตีนสูง มีวิตามินอีที่มีส่วนช่วย ในการเพิ่มความตื่นตัว ให้ทีเซลล์ เพิ่มประสิทธิภาพ ในการป้องกันโรค ของทีเซลล์ เพิ่มไขมันดีลดไขมันเลว ลดความดันโลหิต

ปลาหมึกยังช่วย ในเรื่องกระบวนการฟื้นฟูตนเอง และสมานแผล ให้หายดีหลังจาก ที่มีแผลที่บาดเจ็บ โดยเส้นใยคอลลาเจน ที่เป็นโปรตีน ที่มีในปลาหมึกชนิดนี้ มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟู สภาพของผิวหนัง

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน3

3.กุ้ง

ในกุ้งมีโปรตีน มีวิตามินและธาตุสังกะสี จำนวนมาก ซึ่งเป็นสารอาหาร ที่จำเป็นในการแตกตัว และเพิ่มจำนวนทีเซลล์ ช่วยให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น

กุ้งมีสารจำพวก แคโรทีนนอยด์ เช่น แอสตาแซนธิน ที่ช่วยลดความเสี่ยง ของมะเร็งหลายชนิด ในกุ้งยังมีธาตุเหล็กสูงที่ช่วยบำรุงสมองได้ดี ลดภาวะกระดูกเสื่อม และเพิ่มประสิทธิภาพ ให้กระดูก บำรุงเซลล์ภูมิคุ้มกัน

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน4

4.ชีส

ชีส อุดมไปด้วยสารอาหาร ที่มีประโยชน์ เช่น โฟเลต วิตามินเอแคลเซียม ที่มีมากกว่านม ถึงสองเท่า และวิตามินดี วิในชีส ช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันไม่ให้เซลล์ดี กลายพันธุ์เป็นเซลล์ร้าย กระตุ้นให้เซลล์ร้าย ทำลายตัวเอง

ประโยชน์ของชีส ช่วยบำรุงกระดูก ให้แข็งแรง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และซ่อมแซมส่วนต่างๆ ในร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคมะเร็ง กระตุ้นให้ทีเซลล์ตื่นตัว ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน เพราะไขมันทรานส์ปาลมิโทเลอิกที่ได้รับจากการทานชีส

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน5

5.เก๋ากี้ (โกจิเบอร์รี่)

เก๋ากี้มีกรดอะมิโน 19 ชนิด มีแร่ธาตุ ที่ร่างกายต้องการ 21 ชนิด มีวิตามินสูงกว่าส้ม 500 เท่า เก๋ากี้ ช่วยทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยเสริมสร้าง และช่วยกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกัน ให้ตื่นตัว

ช่วยต้านเซลล์มะเร็ง และลดความเสี่ยง ต่อภาวะมะเร็ง ประโยชน์ของเก๋ากี้ ยังช่วยละระดับน้ำตาล และไขมันในเลือด ต้านเบาหวาน บำรุงและซ่อมแซม ระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงร่างกาย ช่วยส่งเสริมการทำงานของตับ ให้เป็นปกติ

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน6

6.งา

งา อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆเช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เหล็ก เป็นต้น วิตามินบีในงา ช่วยบำรุงรักษาต่อมไทมัส กระตุ้นการทำงาน ของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ได้ดี

งาช่วยซ่อมแซม และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ให้กับผิวหนัง มีสารอนุมูลอิสระ ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง บำรุงรักษาภูมิคุ้มกันในเลือด บำรุงเซลล์ภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความดัน และอาการอักเสบได้เห็นผล

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน15

7.ขิง

ขิง อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยจำนวนมา มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

ขิงช่วยแก้หวัด มีฤทธิ์ช่วยต่อต้าน เชื้อแบคทีเรีย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้เม็ดเลือดขาวไปดักจับเชื้อโรคได้ดีขึ้น พร้อมทั้งช่วยลดการติดเชื้อ ต่อระบบทางเดินหายใจ

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน16

8.ขมิ้นชัน

ขมิ้นชัน อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วินตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และเกลือแร่ต่างๆ รวมไปถึงเส้นใยคาร์โบไฮเดรต และโปรตีน เป็นต้นสาร เคอร์คูมิน ที่มีในขมิ้นชัน มีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร และเป็นประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน

ขมิ้นชัน มีสารสำคัญที่ชื่อว่า เคอร์คูมินอยด์ ที่มีสารที่ต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยต้านการเกิดมะเร็ง ต้านจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส ขมิ้นชันยังช่วยแก้อาการหวัด รักษาโรคข้ออักเสบปวดบวมได้ด้วย

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน7

9.โยเกิร์ต

โยเกิร์ตช่วยเพิ่มจำนวนสารภูมิต้านทาน กระตุ้นเอ็นเคเซลล์ให้ตื่นตัว ควบคุมแบคทีเรีย ที่เป็นโทษต่อร่างกาย ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกัน การติดเชื้อในร่างกาย

โปรไบโอติกส์ ในโยเกิร์ตสำคัญมาก เพราะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงระดับเซลล์ ซึ่งจะช่วยป้องกันไวรัส และปรสิต นอกจากนี้ยังป้องกันโรคมะเร็ง เชื้อโรคในลำไส้ ป้องกันแผลในกระเพาะ โรคภูมิแพ้

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน12

10.กีวี

กีวีอุดมด้วยวิตามินซี เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อสู้กับเชื้อโรค และแบคทีเรียต่างๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังช่วย ช่วยให้อาการหอบหืดดีขึ้น บรรเทาอาการของภูมิแพ้

ป้องกันไขมันอุดตัน ในเส้นเลือด รวมถึงกีวี่ยังมีประโยชน์ต่อ ระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย ป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหวัด ป้องกันอาการภูมิแพ้กำเริบ และป้องกันโรคสมองเสื่อม

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน11

11.อาหารตระกูลเห็ด

เห็ดช่วยกระตุ้น การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ของเซลล์ภูมิคุ้มกันธรรมชาติที่ร่างกายนั้นมีอยู่แล้ว ให้ทำหน้าที่ ในการทำลายเซลล์แปลกปลอม ที่เข้ามาในร่างกาย รวมถึงทำลายไวรัส และแบคทีเรียอื่นๆให้ดียิ่งขึ้น

ประโยชน์ของเห็ด คือ สร้างอนุมูลอิสระ ดูแลกระเพาะอาหาร ลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันมะเร็ง ช่วยต้านหวัด ลดไขมันส่วนเกิน ระบบเลือดไหลเวียนดี บำรุงร่างกายให้แข็งแรง

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน10

12.แครอท

แครอทอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์ เช่นวิตามินเอ บี1 บี2 บีตาแคโรทีน แคลเซียม ธาตุเหล็ก และยังมีสารสำคัญคือ “ฟอลคารินอล” ที่ช่วยต่อต้านเซลล์ ที่ทำให้เกิดมะเร็ง

ประโยชน์ของแครอท คือ ช่วยบำรุงผิวหนัง ให้แข็งแรงป้องกันเซลล์ผิว ไม่ให้ถูกทำลาย และช่วยทำให้ชั้นเยื่อเมือกแข็งแรง ป้องกันไม่ให้เชื้อโรค เข้าสู่ร่างกาย ช่วยสร้างภมิต้านทานโรค ของร่างกายให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน

13.พริกหวาน

พริกหวานอุดมไปด้วยวิตามินเอ และวิตามินซี ช่วยกระตุ้นให้ร่างกาย ผลิตสารที่เกี่ยวข้อง กับการทำงานข องภูมิคุ้มกันเพื่อทำลายเชื้อโรค  ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้พริกหวาน ยังมีสารอนุมูลอิสระ ที่มีประโยชน์ ในการป้องกันโรคมะเร็ง

ป้องกัน อาการภูมิแพ้กำเริบ และโรคไขข้ออักเสบ บำรุงรักษาเซลล์ภูมิคุ้มกัน พริกหวานสามารถ ช่วยลดความดันโลหิตได้ เพราะทำให้หลอดเลือดอ่อนตัว ทำให้ระบบการไหลเวียน ของเลือดเป็นไปได้ด้วยดี

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน

14.มะระ

เบตาแคโรทีน ที่อยู่ในมะระ ช่วยกระตุ้น และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรค และช่วยป้องกันเซลล์ จากการทำลายของสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง

มีประโยชน์ต่อผู้ ที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ช่วยเสริมกระดูกฟัน ให้แข็งแรงช่วยต้านเชื้อไวรัส ช่วยปรับธาตุในร่างกายให้สมดุล และบรรเทาอาการหวัด

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน

15.หอมหัวใหญ่

ในหอมหัวใหญ่ มีสารประกอบไปด้วย สารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีคุณสมบัติลดการอักเสบ ลดไตรกลีเซอไรด์ และลดระดับคอเลสเตอรอลในร่ากาย และยังยับยั้งการเกิดออกซิเดชั่น ซึ่งเป็นผลทำให้เซลล์ ในร่างกายเสียหาย

หอมหัวใหญ่ ยังมีประโยชน์ ในการช่วยป้องกันโรคมะเร็ง บำรุงหัวใจ บรรเทาอาการของโรค ภูมิแพ้ ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด เพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ป้องกันอาหารเป็นพิษ ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันตื่นตัว

อาหารสร้างภูมิคุ้มกัน

16.มะละกอ

วิตามินเอในมะละกอ ช่วยบำรุงผิวพรรณ และเซลล์เนื้อเยื่อให้แข็งแรง ป้องกันไม่ให้เชื้อโรค เข้าสู่ร่างกาย และมะละกอ ก็อุดมไปด้วยวิตามิน และสารอาหารมากมาย ที่ช่วยเสริมสร้างความจำ ของสมองและบำรุงสมอง

ทำให้ลดความเสี่ยง ในจากโรคอัลไซเมอร์ มะละกอมีสารไลโคปีน ที่ช่วยในการต้านมะเร็ง มะละกอช่วยบำรุงหัวใจ ให้แข็งแรง และสามารถป้องกัน การเกิดไขมันอุดตัน ในเส้นเลือดได้ดี รวมถึงบรรเทาอาการ ของโรคหวัดได้ด้วย

บทส่งท้าย

การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ด้วยการเลือกประทานอาหารที่ดี และมีประโยชน์ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง และที่สำคัญเราจะเห็นได้ว่า แต่ละอย่างที่มี เราสามารถที่จะหาซื้อมา รับประทานกันได้ง่ายมาก  ขอเพียงแต่เรานั้น ใส่ใจและให้ความสำคัญ และเลือกทาน ในสิ่งที่มีประโยชน์ กับร่างกายจริงๆแบบจริงจัง เริ่มทำตั้งแต่วันนี้เพื่อสุขภาพของเรากันนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ขงจื้อ ผู้นำที่ดี ควรเป็นแบบใด

ขงจื้อ ผู้นำที่ดี  ควรเป็นแบบใด ผู้นำที่ดี? มันเป็นคำถาม ที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายยุค หลายสมัย และก็ยังคงมีการถกเถียงกัน อยู่ร่ำไป อย่างไม่มีจุดสิ้นสุด มีทฤษฎีหลากหลายมากมาย ที่พยายามจะให้ความหมาย ถึงความเป็นผู้นำที่ดี รวมถึงแนะนำแนวทาง ที่เห็นว่าเป็นทั้งจุดแข็ง และจุดอ่อน ของภาวะการเป็นผู้นำ ก็มีให้เลือกปฏิบัติให้เห็นๆกันอยู่

แต่ที่น่าสนใจคือ การนำมาซึ่งแนวทาง ที่เป็นรูปแบบของการผสมผสาน ของแต่ละทฤษฎี และนำมาปรับใช้ ให้เหมาะกับสถานการณ์ ก็สามารถที่จะช่วยได้ดีทีเดียว เพราะจะทำให้เกิดการมองเห็น ที่เป็นในมุมกว้าง ที่หลากหลายรอบด้าน แก่ผู้นำได้นำเอาไปปรับใช้ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง

หนึ่งในตัวอย่าง ของหลักการและแนวคิด ในการเป็นผู้นำ ที่มีความสำคัญและน่าสนใจคือ ปรัญญาขงจื๊อ ขงจื้อ คือ นักปราชญ์ชาวจีน ที่เป็นบุคคลที่สำคัญ ที่ยิ่งใหญ่ของจีน ได้เขียนอธิบาย ให้เกิดแนวคิด ของการเป็นผู้นำที่ดี ว่ามันควรที่จะเป็นไป ในรูปแบบใดได้น่าสนใจ

ขงจื๊อแนะนำ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่าควรจะต้องมีการพัฒนา ในด้านคุณสมบัติ และต้องพัฒนาในสิ่งที่จำเป็น เพื่อนำพารัฐบาลและประเทศ ให้ก้าวไปในทางที่ดี และมีคุณธรรมอย่างเหมาะสม

ขงจื้อ ผู้นำที่ดี 1

คุณสมบัติต่างๆ ที่ขงจื้อกล่าถึง เช่น การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ความประหยัด ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมั่นใจ ความมุ่งมั่น และความภักดี ล้วนเป็นตัวอย่าง ที่พบในคำสอนของเขา ซึ่งเป็นกรอบแนวคิด สำหรับการเป็นผู้นำ

ที่สำคัญที่สุด ขงจื๊อ จะเน้นเรื่อง คุณธรรม ที่เปรียบเป็นพื้นฐานหลักที่สำคัญ คุณธรรมเป็นพื้นฐาน ที่ผู้นำเมื่อมีอำนาจ แล้ว ต้องรู้จักการใช้คุณธรรมควบคู่กัน ขงจื๊อได้อธิบายไว้ตอนหนึ่ง ที่เกี่ยวกับคุณธรรมว่า วิธีหนึ่งในการมี คุณธรรม คือ ต้องถูกต้อง

“If you yourself are correct, even without the issuing of orders, things will get done; if you yourself are incorrect, although orders are issued, they will not be obeyed”

“ถ้าตัวคุณเองถูกต้อง แม้จะไม่มีการออกคำสั่ง สิ่งต่างๆ ก็จะสำเร็จลุล่วง แต่ถ้าตัวท่านเองไม่ถูกต้อง แม้จะออกคำสั่งแล้ว ก็จะไม่มีใครปฏิบัติตาม”

จากคำอธิบาย ด้านบนจะเห็นและเข้าใจได้ว่า ผู้คนจะไม่ติดตามผู้นำ ที่ขาดคุณธรรม ดังนั้นผู้นำจำเป็น จะต้องมีการพัฒนาด้านคุณธรรม โดยผ่านการศึกษา ผ่านประสบการณ์ และการทำงานอย่างหนัก เพื่อส่วนรวม และประเทศชาติ

คำสอน ขงจื้อ ที่ให้แง่คิดในการเป็น ผู้นำที่ดี

“If you lead the people with correctness, who will dare not be correct?”

“ถ้าคุณนำผู้คนด้วยความถูกต้อง ใครเลยจะกล้าไม่ถูกต้อง?”

คุณธรรม

ว่าด้วยเรื่อง ของความถูกต้อง ถ้าผู้นำมีคุณธรรม เฉกเช่นกับคำสอน ของขงจื้อ ที่เน้นย้ำ เป็นหัวใจหลักที่สำคัญ ของการเป็นผู้นำคือ คุณธรรม เมื่อผู้นำมีคุณธรรม การตัดสินใจ การบริหารจัดการย่อม เป็นเรื่องที่ถูกครรลอง ครองธรรม และมีความถูกต้อง ดังนั้นผู้ตาม ก็จะเกิดความละอายใจที่จะทำ ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ผู้นำมีความสำนึกรู้ ในเรื่องของคุณธรรม ความถูกต้อง ที่ควรต้องปฏิบัติ ปลูกฝังให้เกิดการปฏิบัติตาม ที่เกิดจากความถูกต้อง และความเข้าใจ ถึงสิ่งที่ควรทำ และไม่ควรกระทำ ให้เกิดขึ้นในจิตใจ โดยปลูกฝังและแสดง ให้เห็นเป็นตัวอย่าง ดังนั้นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรกระทำ จึงไม่บังเกิดต่อสังคม ที่มีผู้นำที่บริหาร ด้วยหลักคุณธรรม

“A superior man is modest in his speech, but exceeds in his actions.”

“บุรุษที่เกรียงไกรย่อมถ่อมตนในวาจา แต่ล้ำหน้าเรื่องการกระทำ”

action

วีรบุรษที่แท้จริง จะใช้การกระทำ และประสบการณ์ ของตนเอง เพื่อแสดงตัวอย่าง ถึงสิ่งที่พวกเขาต้องพูด แทนที่จะเลือกพูดในหัวข้อ หรือในสิ่งที่พวกเขา ไม่เคยทำหรือ มีประสบการณ์มาก่อน และในการทำเช่นนี้ เขาเองจะได้รับความเคารพ จากคนที่พวกเขากำลังพูดด้วย หรือกำลังที่จะสั่งสอนอยู่

นอกจากนี้ เนื่องจากเขาเหล่านั้นได้ ลงมือกระทำก่อนแล้ว พวกเขาจะทราบผล ของการกระทำเหล่านั้นแล้ว พวกเขาจะได้รับความเข้าใจ ถึงวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ในการดำเนินการนั้น มันคงเป็นเรื่องโง่มากๆ ที่จะสั่งสอนใครบางคน เกี่ยวกับการกระทำ ที่เรานั้นทำไม่ได้ หรือไม่เคยทำมาก่อนเลย

และถึงแม้ว่าการกระทำนั้น อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ก็ยังเป็นคุณประโยชน์ แก่ผู้ที่พูดด้วย เพื่อไม่ให้เขาทำผิดพลาดเหมือนเดิม

“A man who has committed a mistake and does not correct it is committing another mistake”

“คนที่ทำผิดแล้วไม่แก้ไขถือว่าทำผิดอีก”

แก้ไข

คนเราเมื่อทำผิดแล้ว และมีโอกาสที่ได้แก้ไข ก็ควรทำให้ถูกต้อง เพราะหากไม่คิดแก้ไข ให้ถูกต้องแล้วล่ะก็ มันอาจจะเกิดข้อผิดพลาด ได้อีกในครั้งต่อไป มันจะเป็นพฤติกรรม และการกระทำที่ต่อเนื่อง จากความผิดพลาด ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

คนเราถ้าทำผิด ก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องละอาย คุณสามารถไตร่ตรอง ความผิดพลาด เรียนรู้จากมัน และแก้ไขให้เกิดการกระทำที่ถูกต้องได้ ยิ่งถ้าคนๆนั้น มีภาระและหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบมากมายแล้วล่ะก็ จำเป็นจะต้องเปิดใจและยอมรับ และเรียนรู้ที่แก้ไข เมื่อเกิดข้อผิดพลาด ให้ได้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ซ้ำแล้วซ้ำอีก

บทส่งท้าย

การเป็น “ผู้นำที่ดี” ไม่ใช่ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นได้ในทันที ภาวะของผู้นำ เป็นกระบวนการ ที่ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งต้องใช้วินัย ในการศึกษาเรียนรู้และพัฒนาอย่างหนัก และที่สำคัญพรสวรรค์ อันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ที่ในแต่ละคนล้วนมีไม่เท่ากัน

นอกจากนี้ ที่สำคัญไม่มีชุด คุณลักษณะเดียว ที่ผู้นำทุกคนต้องมี หรือที่จะบอกหรือสรุปได้ว่า ควรที่จะต้องเป็นเช่นไร คำสอนจากผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เช่น ขงจื๊อ ช่วยให้บุคคล ที่ทะเยอทะยานที่จะเติบโต และพัฒนาที่จะเป็นผู้นำรุ่นต่อไป จะต้องศึกษา พัฒนาตนเอง รวมถึงการปรับเปลี่ยน การประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับ สถานการณ์ อย่างชาญฉลาด และมีคุณธรรมเป็นที่ตั้งเสมอ

บทความที่เกี่ยวข้อง

การเลือกคบใครซักคน

การเลือกคบใครซักคน สำหรับคนที่ห่างหาย ในเรื่องของความรัก และมีอาการของการโหยหา อยากมีแฟน อยากมีคนคุย เพื่อทำให้อาการของความเหงา และความว้าเหว่ ที่มีอยู่นั้นหายไป จนบางครั้งก็หน้ามืดตามัว ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับคนที่คิดว่าใช่ ต้องใช่ๆแน่เลย ชั่วโมงนี้นานๆ จะหาได้ซักที ต้องคว้าไว้ให้ได้

ผู้หญิงเรารู้มั้ยคะว่า บางครั้งการพยายาม มากจนเกินไป เพื่อให้ได้ ผู้ชายมาจนมองไม่เห็น หรอกว่าผู้ชายคนนั้น โดยเนื้อแท้แล้ว เค้าเป็นคนอย่างไร หรือเค้าเป็นผู้ชาย ที่เราควรที่จะตัดสินใจ ที่จะเลือกมาเป็นแฟน หรือคนรักของเรา หรือไม่ เมื่อความรักบดบัง มองอะไรก็ดูดี ไปซะทุกอย่าง

เรื่องที่ดูเป็นเรื่องน่าเลวร้าย ไม่น่าให้อภัย ไม่น่าที่จะเอาตัวเอง เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ด้วยความต้องการ และการกลัวการต้องกลับมา อยู่คนเดียวอีก ก็ทำให้มองไป ในมุมกลับกันว่า มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ น่าท้าทายน่าตื่นเต้น ทำให้ชีวิตมีสีสันขึ้น ซึ่งความคิดเหล่านี้ มันเป็นเรื่องที่ถึง แม้ว่าสนิทกันแค่ไหน ก็ไม่สามารถ ที่จะเข้าไปตักเตือน หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้

ดังนั้นผู้หญิงเรา จะต้องเรียนรู้ว่า เมื่อจังหวะและโอกาศมาถึง เมื่อมีผู้ชายเข้ามา แสดงอาการสนใจ หรือชอบในตัวเรา นั้นเราต้องมีมุมมอง และความคิดอย่างไร ก่อนที่เราจะตัดสินใจ เปิดโอกาศให้ตัวเอง และให้โอกาศผู้ชายเหล่านั้น เข้ามามีบทบาท ในชีวิตของเรา

การเลือกคบใครซักคน อย่างมีสติ

การเลือกคบใครซักคน 1

ต้องรู้และเข้าใจความต้องการของตัวเอง ก่อนที่คุณจะเลือก หรือตัดสินใจ ที่จะทำอะไรซักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ก็แล้วแต่ คุณจะต้องรู้ และเข้าใจ ถึงสิ่งที่ตัวคุณเองต้องการ ที่ต้องมีความชัดเจน

เช่นเดียวกับในเรื่อง ของความรัก คุณจะต้องรู้ว่าคุณต้องการอะไร ในความรักของคุณครั้งนี้

ห้ามเด็ดขาด ที่จะมองข้าม ความต้องการของตัวเอง ที่มีอยู่ลึกๆข้างใน หามันให้เจอ เพราะมันเป็นตัวตนของคุณ ที่จะทำให้คุณนั้นรู้ได้ว่า คุณควรจะทำอย่างไร ต่อความสัมพันธ์ ที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือความรักที่คุณ กำลังรอคอยมันอยู่  ความชัดเจน ในความต้องการ ของใจตัวเอง จะทำให้ความสัมพันธ์ ของคุณนั้นเริ่มต้น ได้ราบรื่นขึ้น

การเลือกคบใครซักคน 2

ต้องเรียนรู้ที่จะสร้างข้อจำกัดให้กับตัวเอง  อ่านแล้วงงใช่มั้ยคะว่า ทำไมต้องมีข้อจำกัด มันต้องมีค่ะ ไม่อย่างนั้นคุณก็จะถูกความรัก เอาเปรียบ โดยคุณไม่รู้ตัว เพราะอย่างที่เรารู้กันอยู่ว่า เมื่อผู้หญิงเรามี ความรักแล้วนั้น พร้อมที่จะยอมทุกอย่าง ที่คนรักของเราต้องการ จนบางครั้งทำร้ายตัวเอง โดยที่ไม่รู้ตัว ก็คนมันรักอ่ะเนอะ

การเลือกคบใครซักคน 3

ต้องรู้จักรักและเคารพตัวเอง ข้อนี้สำคัญนะคะ มันเป็นเรื่องที่ชัดมากเลยค่ะ ถ้าคุณยังไม่รู้จักที่จะรัก และเคารพตัวของคุณเอง คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า การแสดงออกของความรัก ที่คุณจะส่งต่อให้กับคนที่ คุณรักนั้นมันเป็นอย่างไร

และคุณก็จะรู้ และสัมผัสได้ว่า คนๆนั้นเค้าแสดงออก ในด้านความรัก กับคุณเป็นแบบใด เพราะในมุมกลับกัน ผู้ชายที่คุณจะเลือกคบนั้น ก็ต้องรู้จักรัก และเคารพตัวเค้าเอง เช่นกัน

time to say goodbye

ต้องรู้ว่าเมื่อใดควรถอย เมื่อความสัมพันธ์ ที่คุณมีอยู่นั้น มันกำลังเริ่ม ที่จะไม่ใช่สิ่งที่ คุณกำลังมองหา หรือเค้าไม่ใช่คนที่คุณนั้นรอคอยอยู่ คุณต้องรู้ตัว และจัดการกับตัวเอง อย่างมีสติ ต้องอย่าถลำลึก จนทำให้ตัวคุณเอง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากจนเกินที่จะแก้ไข

การยอมที่จะเป็นผู้ถอย ออกมาก่อน ไม่ใช่คุณจะเป็นผู้ที่ยอมแพ้ หรือพ่ายแพ้ต่อปัญหาที่เจอ แต่มันเป็นแสดงออกถึงการตัดสินใจ ที่ฉลาดอย่างมีสติ ที่จะไม่สร้างปัญหา ที่บานปลายต่อคนที่คุณรัก หรือเคยรัก

2 สิ่งพื้นฐานที่ผู้หญิงสมควรได้รับจากคนรัก

มีคุณค่าและมีความหมาย

คุณต้องรู้สึกว่าคุณนั้นมีคุณค่าและมีตัวตน คนเราไม่ว่า จะไปอยู่ตรงไหน อยู่กับใคร อยูในสถานการณ์แบบใด ช่วงเวลาไหนๆ คุณจำเป็นที่จะต้องสัมผัส และรับรู้ได้ว่า คุณนั้นมีตัวตนมีคุณค่า เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่คุณสูญเสียความมีตัวตน เท่ากับว่าชีวิตของคุณนั้น ได้มาอยู่ในจุดยืน ที่ไม่ใช่ที่ ที่คุณควรจะอยู่

คนเราทุกคน มีคุณค่าและมีจุดยืน เป็นของตัวเอง และยิ่งสำคัญ มากขึ้นไปอีก เมื่อคุณอยู่กับคนที่คุณรัก คุณนั้นสมควรได้รับ ความรู้สึกว่า คุณนั้นมีคุณค่า มีความสำคัญ มันไม่สมควร อย่างยิ่งที่คุณ จะทำให้ตัวเอง ให้ดูด้อยค่าและไร้ซึ่งการเอาใจใส่ จากคนที่เรียกเค้าว่า คนที่คุณรัก

บางคนอาจจะมองว่า มันไม่ใช่เรื่องจำเป็น ที่ผู้หญิงจะต้องมีตัวตน ในทุกๆสถานการณ์ แต่คุณเชื่อเถอะค่ะว่า มันจำเป็นและมันก็เป็นสิ่งที่ ผู้หญิงทุกคนนั้นต้องการ คุณยอมรับได้จริงๆหรือ ถ้าคนที่คุณรัก มักจะคิดถึงคุณ เป็นคนสุดท้ายเสมอ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ลองถามตัวเองดูดีๆ อีกซักครั้ง

ผู้ชายอาจจะมี ข้ออ้างต่างๆนาๆ เช่น ยุ่งมากไม่มีเวลา งานเยอะมากเลยทำไม่ทัน ประชุมมีต่อเนื่องตลอดเลย เป็นต้น มันจึงทำให้ผม ไม่มีเวลาที่จะรับสาย หรือโทรหาคุณ หรือมาเจอคุณได้ ช่วงแรกๆ มันอาจจะยังพอรับได้ นะคะ แต่ถ้าเวลาผ่านไปนานขึ้นแล้ว คุณนั่นแหล่ะจะทุกข์ และเจ็บปวดที่สุด

ความสุขและความทุกข์

คุณต้องมีความสุขมากกว่าความทุกข์ ประเด็นความรัก ที่เริ่มสงสัยว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไป บ่อยครั้งที่คนรักหลายๆคู่ เกิดปัญหา ในระหว่างทาง ของความสัมพันธ์ และทำให้การตัดสินใจ นั้นดูยากและซับซ้อน ไม่สามารถที่จะหาทางออกให้กับตัวเองได้ เนื่องจากมีข้อขัดแย้ง ในจิตใต้สำนึก และความรู้สึกที่มีมากมาย

ความสัมพันธ์ที่มีปัญหา มันไม่ได้ขึ้นอยู่ว่า ความสัมพันธ์นั้นๆ จะยาวนานหรือจะสั้น มันไม่ได้สร้าง ความแตกต่าง เพราะปัญหามัน ก็คือปัญหา ทุกครั้งที่มีปัญหา และยังหาคำตอบ ให้กับตัวเองไม่ได้

ให้คุณลองหยุดอยู่นิ่งๆ หายใจเข้าออกลึกๆ หลายๆรอบ และถามตัวเองว่า ในความรักของคุณครั้งนี้ ถ้าให้เปรียบเทียบความสุขที่คุณมี กับความทุกข์ที่คุณได้รับ สองสิ่งนี้เมื่อนำมา เปรียบเทียบกัน คุณได้รับสิ่งไหน มากกว่ากัน

ถ้าคำตอบคือ ความสุขที่คุณได้รับ มีปริมาณที่มากกว่า กับปัญหาที่นำมา ซึ่งความทุกข์แล้วล่ะก็ มันก็ไม่แย่นะ สำหรับการพยายาม ที่จะปรับตัวเข้าหากัน และแก้ไขปัญหาต่างๆที่มี เพื่อไปต่อด้วยกัน

แต่ถ้าคำตอบคือ ความทุกข์มีมากกว่าความสุข ที่ควรจะได้รับแล้วล่ะก็ มันเป็นสัญญาณ ที่ชัดเจนเลยว่า คุณต้องหยุดที่จะฝืนตัวเอง เพื่อพยายามที่จะ รักษาความสัมพันธ์ ครั้งนี้ไว้อีกต่อไป

บทส่งท้าย

บางคนอาจจะมองว่า เรื่องของความรัก คล้ายๆกับการซื้อหวย ถ้าโชคดีเจอคนที่ดี เจอคนที่ใช่ ก็เหมือนถูกหวยได้รางวัล แต่ถ้าได้คนไม่ดี ก็โดยหวยกินจนบางที ก็หมดตัว มันก็เป็นเรื่องที่อยู่เหนือ การควบคุมจริงๆนั่นแหล่ะ

แต่ลองมาคิดดูอีกที มันอาจจะไม่ใช่เสมอไปก็ได้ เพราะถ้าเรามีสติ อย่าปล่อยให้อารมณ์ อยู่เหนือเหตุผล ในการเลือกและการตัดสินใจ ในการกระทำของตัวเอง มันก็เท่ากับว่า เราสร้างเกราะป้องกัน ชั้นดีให้กับชีวิตความรัก ของเราได้แล้วหนึ่งชั้น

ซึ่งมันก็ยังดีกว่า ที่จะยืนเป็นเป้านิ่งๆ ที่ปราศจากเกราะป้องกัน และปล่อยให้ใครก็ไม่รู้ มาทำร้ายหรือสร้างรอยแผลให้กับเราอยู่ร่ำไป คุณว่าจริงมั้ยคะ

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ก้าวข้ามความทุกข์

ความทุกข์ของชีวิต แน่นอนที่สุด ไม่มีใครอยากที่จะพบเจอ แต่มันก็เป็นเรื่อง ที่หลีกเลี่ยงกันไม่ได้ และที่สำคัญ คำจำกัดความ ในสิ่งที่เรียกว่า “ความทุกข์” ของแต่ละคน ก็ล้วนแตกต่างกัน แต่สิ่งนึงที่ทุกคนคิด เหมือนกันก็คือ ทุกคนต่างค้นหา วิธีการ ก้าวข้ามความทุกข์ เพื่อเป็นแนวทาง เพื่อให้ช่วยให้ผ่านพ้นมันไปให้ได้

ความแตกต่างที่มีนั่นแหล่ะ อย่างเช่น ความคิด ความชอบ ความคาดหวัง เป้าหมายชีวิต สิ่งแวดล้อมรอบๆตัว และอีกหลายๆอย่างมากมาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงทำให้หลายๆครั้ง วิธีการหรือแนวทาง ที่จะช่วยเพื่อให้ ก้าวข้ามความทุกข์ ของแต่ละคนนั้น ต้องใช้วิธีที่แตกต่างกัน

“เธอไม่มาเป็นอย่างชั้น เธอไม่มีวันเข้าใจหรอก ว่าชั้นต้องเจอกับอะไรบ้าง”

เมื่อคุณได้ฟังประโยคนี้แล้ว มองเห็นภาพเลยมั้ยคะ ว่าสิ่งที่คนเหล่านั้น กำลังพบเจออยู่นั้น มันหนักหนาสาหัส  และเลวร้ายมากมายเพียงใด และในบางครั้ง เราอาจจะทำได้แค่เพียง รับฟังอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่สามารถ ช่วยเหลืออะไรได้เลยก็มีใช่มั้ยคะ

ในบทความนี้ ผู้เขียนขอแบ่งปัน แนวทางของความคิด ที่เอาไว้จัดการกับปัญหา หรือสถานการณ์ ที่เข้ามาสร้างความทุกข์ให้กับชีวิต ของผู้เขียนเอง ซึ่งในหลายๆครั้ง มันทำให้สามารถ ข้ามผ่านไปได้ค่ะ และด้วยความหวังว่า มันจะสร้างมุมมองใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ กับผู้อ่านได้ลองนำปรับใช้ กับกันดูนะคะ

5 วิธีพื้นฐานในการข้ามความทุกข์ในชีวิต

ก้าวข้ามความทุกข์ 2

ยอมรับความจริงตรงหน้า สิ่งแรกนี้ที่ทุกคน ต้องทำก่อน สิ่งอื่นเลยก็คือ ต้องทำความเข้าใจ ต่อสถานการณ์และสิ่งที่กำลังพบเจอ ที่อยู่ตรงหน้า ของคุณว่ามันเป็นเรื่องจริง มันได้เกิดขึ้นแล้ว และคุณกำลังต้องอยู่ กับมันและคุณนั้น ก็ยังไม่รู้ว่า จะต้องอยู่กับสิ่งที่ คุณเรียก มันว่าความทุกข์ ไปนานซักเท่าไหร่

เริ่มต้นด้วยการยอมรับมันค่ะ ว่ามันเป็นธรรมชาติ ของมนุษย์ทั่วไปนะคะ ไม่มีใครชอบที่จะต้องอยู่ กับสถานการณ์ ที่ไม่ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกดี มีความสุข หรือสบายใจ แต่มันก็เป็นธรรมชาติ ของชีวิตของมนุษย์ อีกเหมือนกันค่ะ มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ต้องยอมรับว่า มันคือรสชาติของชีวิตคนค่ะ ว่าจะต้องมีทั้งสุขและทุกข์ ผสมปนเปกันไป ยอมรับมันซะอย่าไปต่อต้าน

ก้าวข้ามความทุกข์ 3

สติมาปัญญาเกิด เมื่อคุณเริ่มที่จะเปิดใจยอมรับ กับสิ่งที่คุณเรียกมันว่า สิ่งนี้มันคือ สิ่งที่ทำให้ชั้นมีความทุกข์ คุณจะเริ่มนิ่งขึ้น คุณจะเริ่มมีสติ และเข้าใกล้กับความทุกข์ได้มากขึ้น อย่างมีเหตุและผล และสามารถอยู่กับมันได้โดย ที่ไม่ทำให้ความรุนแรง ของความทุกข์ที่มีอยู่นั้น ทำลายชีวิตในด้านอื่นๆ ของคุณมากจนเกินไป

สติช่วยคุณได้ค่ะ เพราะถ้าคุณมัวแต่ฟุ้งซ่าน ปล่อยสติหลุดลอย ไปกับเรื่องที่สร้างพลังงาน ในด้านลบให้กับชีวิต ของคุณมากจนเกินไป คุณจะไม่สามารถมองเห็น หรือให้คุณค่ากับสิ่งอื่นๆ ที่ยังมีอยู่ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่าในชีวิตของคุณ ที่ยังสร้างให้เกิดความสุข ในชีวิตของคุณ ได้อีกด้วยเช่นกัน

ก้าวข้ามความทุกข์ 4

จัดระเบียบความสำคัญ เมื่อคุณเริ่มมีสติ การมองเห็นเริ่มชัดเจนขึ้น คุณจะต้องเริ่มคิดที่จะจัดระเบียบของสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตของคุณให้มีระเบียบมากขึ้น ในชีวิตของคนเรานั้น มีบ่อยครั้งที่เสียเวลา เสียพลังงานไปกับสิ่งต่างๆที่เอาเข้าจริงๆไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ หรือควรใช้พลังงานที่มีอยู่ ในแต่ละวันนั้นหมดไป ด้วยความขุ่นมัว และปราศจากความรื่นรมย์

บางครั้งความทุกข์ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เอาเข้าจริงๆ พอเราเริ่มจัดระเบียบ ความสำคัญกับสิ่ง ที่ต้องทำในชีวิตของเรา ในหลายๆครั้งเราได้คำตอบว่า เราไม่ควรจะหยิบขึ้นมา ให้เป็นตัวบั่นทอน หรือดึงดูดพลังของชีวิต ของเราให้ลงไปอยู่ในจุด ที่มืดของอารมณ์ ความรู้สึกภายใน ของเราเลยจริงๆ

let go

ปล่อยวางให้เร็ว เมื่อคุณเห็นแล้วว่า มีสิ่งที่คุณจำเป็น จะต้องทำและจัดการ อีกมากมาย อะไรที่คิดแล้วทุกข์ อะไรทำแล้วไม่สบายใจ ปล่อย ละ วางลง ให้เร็วเท่าที่ทำได้ เมื่อคิดถึงแล้วทุกข์ หยุดคิด เมื่อทำแล้วไม่สบายใจ หยุดทำ หักดิบไปเลยค่ะ บอกกับตัวเองว่า “ชั้นมีอะไรที่ต้องทำอีกมากมาย ไม่มีเวลามานั่งจมอยู่กับความทุกข์อยู่แบบนี้หรอก”

มันทำยากค่ะ ยอมรับเลยว่ายากจริงๆ ที่จะพยายามเอาตัวเอง ออกมาจากจุดนั้น แต่อยากให้คุณลองถามตัวเองดูนะคะว่า คุณต้องการที่จะใช้ชีวิต แบบไม่มีความสุขแบบนี้หรอคะ คุณต้องการให้ชีวิตของคุณ ตื่นมาในแต่ละวัน ต้องคิดและวนเวียนอยู่กับ เรื่องที่คิดทีไรก็ทุกข์ จริงๆหรอคะ ปล่อยมันไปค่ะ

teak your time

ให้เวลาช่วยแก้ไข บางครั้งคนเราเวลามีปัญหา ที่ทำให้เกิดภาวะเครียด หรือกดดันด้วยเพราะ พยายามที่จะแก้ไขหรือทำให้สิ่งเหล่านั้น หมดสิ้นไปให้เร็วที่สุด เท่าที่จะสามารถทำได้ และถ้ายังไม่สามารถ ที่จะแก้สิ่งเหล่านั้นได้ ก็จะคิดวนเวียนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทุกๆอย่างเริ่มแย่ลง ตามๆกันไปโดยไม่รู้ตัว

ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม ที่คุณรู้สึกตัว ว่าคุณเริ่มที่จะจมลึก และมันยังไม่มีอะไร เปลี่ยนแปลง หรือสามารถที่จะแก้ไข คุณลองหยุดพักและ ให้เวลากับตัวเอง ลองหันเหไปทำเรื่องอื่นๆดูบ้าง บางครั้งการทิ้งช่วง หรือเว้นระยะห่าง ออกมาจากปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ คุณอาจจะค้นพบวิธีการในการแก้ปัญหาก็ได้

การย้ำอยู่กับที่ ก็ไม่ช่วยในการแก้ปัญหา เพราะมันจะทำให้คุณไม่สามรถมองเห็นอะไรได้เลยนอกจากจุดเดิมๆที่คุณนั้นยืนอยู่ แต่คุณลองเปลี่ยนจุดที่คุณกำลังยืนอยู่ ถอยหลังซักหนึ่งก้าว เว้นระยะซักหน่อย ให้เวลาอีกนิด คุณก็จะมองเห็นมุมมองที่เป็นด้านอื่นๆ ที่ช่วยทำให้คุณผ่าน ช่วงดังกล่าวไปได้

บทส่งท้าย

ชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์ ขึ้นอยู่กับมุมมอง ของแต่ละคนว่า จะตัดสินใจที่จะใช้ชีวิต ของตัวเราเองอย่างไร ชีวิตของแต่ละคน สั้นยาวไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่ทุกคนทำได้คือ การสร้างความสุข และความสงบในจิตใจ ให้กับตัวเอง สร้างประโยชน์ให้กับจิตวิญญาณของเรา

สร้างการรับรู้ และสัมผัสให้ได้ ถึงความสำคัญ ของการตื่นมา แล้วยังมีลมหายใจ ว่าเราจะนำช่วงเวลา ดังกล่าวที่มีเหลืออยู่นั้น เป็นไปในรูปแบบใด และเมื่อวันนึง เวลาของเรานั้นหมดลง เราจะได้พูดกับตัวเอง ได้เต็มปากว่า เรานั้นได้ใช้เวลาทั้งหมดอย่างมีสติ และมีคุณค่าต่อตัวเอง อย่างเต็มที่แล้ว

บทความที่เกี่ยวข้อง