โยคะลดน้ำหนัก

0

การฝึกโยคะ เป็นการออกกำลังกาย ที่นอกเหนือจาก ผลที่ได้ใน เรื่องของสุขภาพแล้ว การเล่นโยคะ เป็นประจำ ยังช่วยในการลดน้ำหนัก ได้อีกด้วย การฝึก โยคะลดน้ำหนัก ได้เห็นผลได้จริงหรือ คำตอบที่ได้คือ ได้ผลค่ะแต่ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยกัน นั่นก็คือการควบคุม ในเรื่องของอาหาร

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง IF Intermittent Fasting การลดน้ำหนัก สำหรับผู้หญิง

ด้วยคุณประโยชน์ เบื้องต้นของผู้ที่ เล่นโยคะ อยู่เป็นประจำ ประโยชน์ที่มองเห็น ได้ชัดคือ สมาธิที่นิ่งขึ้น จิตใจมีความสงบมากขึ้น  สุขภาพจิตดีขึ้น กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง รับรู้ถึงความแข็งแรงที่มาจากภายใน หลังจากนั้นเราจะเริ่ม สรรหาสิ่งที่มีประโยชน์ ให้กับร่างกายของเราเอง

ซึ่งจะรวมไปถึง การคัดสรร และเลือกรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์ให้กับร่างกาย ของเรามากขึ้น ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับอาหารที่มีประโยชน์ และลดจำนวนปริมาณ ของอาหารที่ไม่ได้ ส่งผลดีต่อร่างกายน้อยลง ทำให้ร่างกาย เกิดการเผาผลาญได้ดีขึ้น และส่งผลไปถึง เรื่องของน้ำหนัก ที่ลดลงได้อย่างต่อเนื่อง

ท่า โยคะลดน้ำหนัก ที่เรียกเหงื่อได้ดี และเผาผลาญพลังงาน

Surya Namaskara A หรือ Sun Salutation A

 

Sun A 11

  1. เริ่มต้นด้วยท่าภูเขา (Tadasana)

Sun A 2

2. หายใจเข้า วาดแขนทั้งสองขึ้นส่งหาเพดาน ฝ่ามือประกบ แหงนหน้ามองขึ้นด้านบน (Urdhva Hastasana)

Sun A 3

3. หายใจออก พับตัวลงมาจากข้อสะโพก นำฝ่ามือทั้งสองข้างวางที่พื้้น ในระดับเดียวกันกับเท้าทั้งสอง หน้าท้องแนบติดต้นขา หน้าผากใกล้บริเวณหน้าแข้ง (Uttanasana)

Sun A 4

4. หายใจเข้า ยกลำตัวด้านบนขึ้น แต่ปลายนิ้วมือยันพื้นไว้ แขนตรง สายตามองตรงไปด้านหน้าเสื่อ หลังตรง ไม่โค้งงอ (Ardha Uttanasana)

Sun A 5

5. หายใจออก ฝ่ามือทั้งสอง แนบติดแบนติดพื้น กระโดด หรือก้าวเท้าไปด้านหลัง ยกลำตัวขึ้น ขาไม่ติดพื้น มีเพียงปลายนิ้วเท้า หรือจมูกเท้าที่ติดพื้น (Chaturanga Dandasana)

Sun A 6

6. หายใจเข้า นำหลังหลังแนบติดพื้น พร้อมทั้งยืดแขนทั้งสองข้างตึง ตำแหล่งใกล้ลำตัว ยกลำตัวส่วนบน ขึ้นห่างจากพื้น เปิดแผ่นอก เปิดหัวไหล่ กดหัวไหล่ลง ตำแหน่งหัวไหล่ และข้อมือ อยู่ในแนวเดียวกัน สายตามองขึ้นด้านบน (Urdhva Mukha Svanasana)

Sun A 7

7. หายใจออก ดันฝ่ามือแขนเหยียดตรง ดันสะโพกขึ้นสูง หาเพดาน วางส้นเท้าลง ให้ใกล้กับพื้นมากที่สุด กระดูกสันหลังเป็นเส้นตรง ลักษณะเป็นสามเหลี่ยม (Adho Mukha Svanasana) อยู่ในท่า 3-5 ลมหายใจเข้า-ออก

Sun A 3

8. หายใจออก ก้าวหรือกระโดด มาด้านหน้าของเสื่อ พับตัวลงมาจากข้อสะโพก นำฝ่ามือทั้งสองข้างวางที่พื้้น ในระดับเดียวกัน กับเท้าทั้งสอง หน้าท้องแนบติดต้นขา หน้าผากใกล้บริเวณหน้าแข้ง (Uttanasana)

Sun A 2

9. หายใจเข้า วาดแขนทั้งสอง ขึ้นส่งหาเพดาน ฝ่ามือประกบ แหงนหน้ามองขึ้นด้านบน (Urdhva Hastasana)

Sun A 11

10. หายใจออก กลับมาสู่ท่าภูเขา (Tadasana)

Surya Namaskara B หรือ Sun Salutation B

 

Sun A 11

  1. เริ่มต้นด้วยท่าภูเขา (Tadasana)

Sun B 1

2. หายใจเข้า งอเข่าทั้งสองข้างให้มากที่สุดจนขนานกันกับพื้น ยกแขนทั้งสองข้างสูงส่งขึ้นหาเพดาน หย่อนสะโพกลงคล้ายๆกับการนั่ง สายตามองตรง เก็บหน้าท้อง (Utkatasana)

Sun A 3

3. หายใจออก พับตัวลงมาจากข้อสะโพก นำฝ่ามือทั้งสองข้างวางที่พื้้น ในระดับเดียวกัน กับเท้าทั้งสอง หน้าท้องแนบติดต้นขา หน้าผากใกล้บริเวณหน้าแข้ง (Uttanasana)

Sun A 4

4. หายใจเข้า ยกลำตัวด้านบนขึ้น แต่ปลายนิ้วมือยันพื้นไว้ แขนตรง สายตามองตรงไปด้านหน้าเสื่อ หลังตรง ไม่โค้งงอ (Ardha Uttanasana)

Sun A 5

5. หายใจออก ฝ่ามือทั้งสอง แนบติดแบนติดพื้น กระโดด หรือก้าวเท้าไปด้านหลัง ยกลำตัวขึ้น ขาไม่ติดพื้น มีเพียงปลายนิ้วเท้า หรือจมูกเท้าที่ติดพื้น (Chaturanga Dandasana)

Sun A 6

6. หายใจเข้า นำหลังหลังแนบติดพื้น พร้อมทั้งยืดแขนทั้งสองข้างตึง ตำแหล่งใกล้ลำตัว ยกลำตัวส่วนบน ขึ้นห่างจากพื้น เปิดแผ่นอก เปิดหัวไหล่ กดหัวไหล่ลง ตำแหน่งหัวไหล่ และข้อมือ อยู่ในแนวเดียวกัน สายตามองขึ้นด้านบน (Urdhva Mukha Svanasana)

Sun A 7

7. หายใจออก ดันฝ่ามือแขนเหยียดตรง ดันสะโพกขึ้นสูง หาเพดาน วางส้นเท้าลง ให้ใกล้กับพื้นมากที่สุด กระดูกสันหลังเป็นเส้นตรง ลักษณะเป็นสามเหลี่ยม (Adho Mukha Svanasana) อยู่ในท่า 3-5 ลมหายใจเข้า-ออก

Sun B 3

8. หายใจเข้า ก้าวขาขวามาด้านหน้าใกล้ฝ่ามือขวาด้านใน งอเข่าขวาลงจนขนานกับพื้น วางส้นเท้าซ้ายลงที่พื้น ปลายเท้าเป็นแนว 45 องศา ส่งแขนทั้งสองสูงขึ้นหาเพดาน ฝ่ามือประกบ สายตามองตามมือ (Virabhadrasana)

Sun A 5

9. หายใจออก นำเท้าขวากลับไปคู่เท้าซ้าย ฝ่ามือทั้งสอง แนบติดแบนติดพื้น ยกลำตัวขึ้น ขาไม่ติดพื้น มีเพียงปลายนิ้วเท้า หรือจมูกเท้าที่ติดพื้น (Chaturanga Dandasana)

Sun A 6

 

10. หายใจเข้า นำหลังเท้าแนบติดพื้น พร้อมทั้งยืดแขนทั้งสองข้างตึง ตำแหล่งใกล้ลำตัว ยกลำตัวส่วนบน ขึ้นห่างจากพื้น เปิดแผ่นอก เปิดหัวไหล่ กดหัวไหล่ลง ตำแหน่งหัวไหล่ และข้อมือ อยู่ในแนวเดียวกัน สายตามองขึ้นด้านบน (Urdhva Mukha Svanasana)

Sun A 7

11. หายใจออก ดันฝ่ามือแขนเหยียดตรง ดันสะโพกขึ้นสูง หาเพดาน วางส้นเท้าลง ให้ใกล้กับพื้นมากที่สุด กระดูกสันหลังเป็นเส้นตรง ลักษณะเป็นสามเหลี่ยม (Adho Mukha Svanasana) อยู่ในท่า 3-5 ลมหายใจเข้า-ออก

Sun B 2

12. หายใจเข้า ก้าวขาซ้ายมาด้านหน้า ใกล้ฝ่ามือซ้ายด้านใน งอเข่าขวาลงจนขนานกับพื้น วางส้นเท้าขวาลงที่พื้น ปลายเท้าเป็นแนว 45 องศา ส่งแขนทั้งสองสูงขึ้นหาเพดาน ฝ่ามือประกบ สายตามองตามมือ (Virabhadrasana)

Sun A 5

13. หายใจออก นำเท้าขวากลับไปคู่เท้าซ้าย ฝ่ามือทั้งสอง แนบติดแบนติดพื้น ยกลำตัวขึ้น ขาไม่ติดพื้น มีเพียงปลายนิ้วเท้า หรือจมูกเท้าที่ติดพื้น (Chaturanga Dandasana)

Sun A 6

14. หายใจเข้า นำหลังเท้าแนบติดพื้น พร้อมทั้งยืดแขนทั้งสองข้างตึง ตำแหล่งใกล้ลำตัว ยกลำตัวส่วนบน ขึ้นห่างจากพื้น เปิดแผ่นอก เปิดหัวไหล่ กดหัวไหล่ลงให้ห่างจากใบหู ตำแหน่งหัวไหล่ และข้อมือ อยู่ในแนวเดียวกัน สายตามองขึ้นด้านบน (Urdhva Mukha Svanasana)

Sun A 7

15. หายใจออก ดันฝ่ามือแขนเหยียดตรง ดันสะโพกขึ้นสูง หาเพดาน วางส้นเท้าลง ให้ใกล้กับพื้นมากที่สุด กระดูกสันหลังเป็นเส้นตรง ลักษณะเป็นสามเหลี่ยม (Adho Mukha Svanasana) อยู่ในท่า 3-5 ลมหายใจเข้า-ออก

Sun A 4

16. หายใจเข้า ก้าวหรือกระโดด มาด้านหน้าของเสื่อ ยกลำตัวด้านบนขึ้น แต่ปลายนิ้วมือยันพื้นไว้ แขนตรง สายตามองตรงไปด้านหน้าเสื่อ หลังตรง ไม่โค้งงอ (Ardha Uttanasana)

Sun A 3

17. หายใจออก พับตัวลงมาจากข้อสะโพก นำฝ่ามือทั้งสองข้างวางที่พื้้น ในระดับเดียวกัน กับเท้าทั้งสอง หน้าท้องแนบติดต้นขา หน้าผากใกล้บริเวณหน้าแข้ง (Uttanasana)

Sun B 1

18. หายใจเข้า งอเข่าทั้งสองข้าง ให้มากที่สุด จนขนานกันกับพื้น ยกแขนทั้งสองข้างสูง ส่งขึ้นหาเพดาน หย่อนสะโพกลงคล้ายๆกับการนั่ง สายตามองตรง เก็บหน้าท้อง (Utkatasana)

Sun A 11

19. หายใจออก เหยียดขาตรง นำแขนทั้งสองข้างลง หงายฝ่ามือ ไว้ข้างลำตัว กลับสู่ท่าเริ่มต้น ท่าภูเขา (Tadasana)

สรุปโดยรวมเรื่อง โยคะลดน้ำหนัก

กลุ่มท่า โยคะทั้งสองกลุ่มนี้ ในการเริ่มต้น ของการฝึกโยคะ ใช้เป็นการเริ่มการ Warm up ร่างกายให้เกิด การยืดหยุ่น ให้กับกลุ่มกล้ามเนื้อ เพื่อให้การฝึกโยคะ ในการเข้าอาสนะต่างๆ นั้นง่ายขึ้นและ ลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ได้มีประสิทธิภาพ และเรียกเหงื่อได้ดี ยิ่งทำให้เกิดการประสานกับลมหายใจ

อีกในแง่นึง จากประสบการณ์ ที่ได้ฝึกโยคะเป็นประจำ การเลือกฝึกโยคะ ที่เป็นการฝึกการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องหรือที่เรารู้จักกัน ในการฝึกที่เรียกว่า Vinyasa ที่เป็นการสร้างความต่อเนื่อง ให้ร่างกายได้เกิดการ สร้างความร้อนและ นำไปสู่การเผาผลาญไขมันได้ดี

Surya Namaskara เป็นท่าโยคะ ที่เป็นการเคลื่อนไหว อย่างต่อเนื่องในรูปแบบ ที่ไม่ได้ซับซ้อนมาก จนเกินไป เป็นการเคลื่อนไหว ที่สอดคล้องไป ตามลมหายใจเข้าออก อย่างช้าๆ ตามจังหวะลมหายใจของผู้ฝึก แต่ผลที่ได้รับ กลับเป็นพลังงานที่มากมาย และสามารถสร้าง ความแข็งแกร่ง ให้กับระบบหัวใจ ได้อย่างมหัศจรรย์

เมื่อร่างกายและลมหายใจ ได้ประสานกันไปอย่างคล่องตัว และเคลื่อนไหว ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้จิตเกิดการเป็นสมาธิและมีสติ ซึ่งทำให้ความเคลียดต่างๆ ที่ได้รับการสั่งสมมานาน ตลอดเวลานั้นได้เบาบางลง

เพราะความเตรียด เป็นสิ่งนึงที่ ทำให้เกิดภาวะ ของโรคอ้วนได้ ว่ากันว่าถ้า ยิ่งเครียดก็ยิ่งกิน ดังนั้นเมื่อร่างกายและจิตใจของเรา ห่างไกลจากความเครียด ก็เท่ากับว่าเราได้พาร่างกายของเรา ให้ห่างไกลจากความอ้วน และจากการการเพิ่มน้ำหนัก ที่เกิดขึ้นจากการกิน โดยขาดการควบคุมที่ดีนั่นเอง

Surya Namaskara A และ Surya Namaskara B ผู้ฝึกสามารถเลือกตามที่ตนเองถนัด และฝึกเป็น Set อย่างน้อย 6 Set เพื่อสร้างความร้อน ให้ร่างกายที่ออกมาจากภายใน เพื่อให้เกิดการเผาผลาญ หรือจะฝึกทั้งคู่เลยก็ยิ่งดี ฝึกเป็นประจำ ช่วงแรกๆอาจจะได้ไม่กี่รอบ

แต่เมื่อร่างกาย เริ่มชินและเริ่มจดจำ การเชื่อมโยงของอาสนะ ที่ทำต่อเนื่องได้แล้ว ก็ให้เพิ่มรอบ ในการฝึกไปได้ตามความแข็งแรง ของร่างกาย บางครั้งเราการฝึกโยคะก็ไม่จำเป็นจะต้องฝึกแต่ที่ยากเสมอไป เพราะทุกๆอย่างในการเรียนรู้และ ให้เกิดการพัฒนาต่อยอดที่ดีนั้น การสร้างพื้นฐานที่ดีและมั่นคง คือหัวใจที่สำคัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

โยคะเพื่อลดเอว

0

การฝึก โยคะเพื่อลดเอว เป็นการออกกำลังกาย ที่ใช้ร่างกายของตัวเอง เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหว โดยที่ใช้อุปกรณ์ตัวช่วย อย่างอื่นน้อยมาก เพราะโยคะจะเน้น ที่การใช้อวัยวะร่างกาย ในแต่ละส่วนเป็น เหมือนเครื่องมือ ที่ทำให้เกิดกลไก ที่นำไปสู่ความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อ เมื่อได้รับการบริหาร อย่างสม่ำเสมอ

ลำดับท่าที่ใช้ในการฝึกโยคะ ในแต่ละท่านั้น คุณประโยชน์ ที่ร่างกายและกล้ามเนื้อที่ได้รับ การบริหาร และมีความแข็งแรง จะมีความแตกต่างกัน ออกไป ขึ้นอยู่กับ เราว่าต้องการที่จะใช้การบริหารแบบไหน ต้องการที่จะเน้นร่างกายส่วนไหน เป็นพิเศษเพื่อ ให้ได้ผลมากที่สุด

ในบทความนี้ ได้จัด ท่าการฝึกโยคะ ที่เน้นไปในเรื่อง ของการบริหารเอว จะทำให้เอวเล็กลง ให้สวยงาม ดูกระชับและ มีส่วนเว้าส่วนโค้ง มากขึ้น โดยที่จะนำท่าดังกล่าว มาเรียงร้อยต่อกัน ในแบบสั้นๆ ที่สามารถใช้ฝึกเป็นประจำ ควบคู่ไปกับการฝึกโยคะ ในแต่ละครั้งได้

1.ท่าพระจันทร์เสี้ยว + Baby Backbend + Forward Bend

โยคะเพื่อลดเอว

เริ่มต้นด้วยท่า Mountain Pose ยืนตัวตรงเท้าชิด มือทั้งสองวางแนบข้างลำตัว ยกแขนสองข้างขึ้นเหนือศรีษะ ประกบฝ่ามือเข้าหากัน ปลายนิ้วชี้ขึ้นด้านบน เอนตัวไปด้านข้าง ซ้ายและขวา สลับกัน เพื่อยืดเส้นข้างลำตัวทั้งสองข้าง เป็นการ warm up

หลังจากนั้น ค้างท่าไว้ในแต่ละข้างประมาณ 5 ลมหายใจเข้าออก ในจังหวะที่ค้างท่า ลำตัวตรงไม่แอ่น ขมิบแก้มก้นแน่น หงายลำตัวขึ้นด้านบนไม่คว่ำลำตัว

มือทั้งสองยังอยู่ ตำแหน่งเดิม กลับมายืนตัวตรง ดันสะโพกไปด้าหน้า แอ่นหลังและ หน้าอกเล็กน้อย เปิดหัวไหล่ทั้งสองส่งปลายนิ้วมือทั้งสอง ไปด้านหลังเท่า ที่สามารถทำได้ (Baby Backbend)

มือทั้งสองยังอยู่ตำแหน่งเดิม กลับมายืนตัวตรง พับลำตัวจากช่วงเอว ลงมาให้ใกล้บริเวณขาทั้งสองให้มากเท่าที่ทำได้ โดยที่หลังไม่โค้งงอ ส่วนตำแหน่งมือคลายออก จับบริเวณที่สามารถจะจับถึง แต่ถ้าร่างกายยืดหยุ่น พอก็ให้วางฝ่ามือ ทั้งสองข้างเท้าทั้งสอง หน้าผากใกล้กับหน้าแข้ง (Forward Bend)

2. ท่า High Lunge Twist + Reverse High Lunge Twist

โยคะลดเอว

เริ่มต้นด้วย Downward Facing Dog ยกเท้าขวาสูง ก้าวไปด้านหน้า ระหว่างมือทั้งสองข้าง งอเข่าข้างขวาเป็นแนวตั้งฉากจากพื้น ขาซ้ายที่อยู่ด้านหลังเหยียดตึง ยกส้นเท้าหลังตั้งฉาก ยกแขนเหยียดตึงหาเพดาน

ช่วงขายังอยู่ในตำแหน่งเดิม หมุนลำตัวไปด้านขวา แยกแขนทั้งสองข้างออกจากกันในจังหวะที่หมุนลำตัว แขนซ้ายส่งแขนเหยียดตึงไปด้านหน้าระดับหัวไหล่ แขนขวาเหยียดตึง ส่งไปด้านหลัง ระดับหัวไหล่ สายตามองตามมือข้างขวา ไปด้านหลัง (High Lunge Twisted)

ช่วงขายังคงอยู่ที่เดิม นำมือขวาไปจับบริเวณใกล้ บริเวณน่องข้างขวา ยืดลำตัวจากเอวด้านซ้าย แขนซ้ายยกสูงปลายนิ้วมือส่งไปด้านหลัง สายตามองตามมือขวา ออกจากท่าโดยกลับไปสู่ ท่าเริ่มต้นแล้วสลับกลับ ไปทำอีกด้าน

3. ท่าเก้าอี๊ (Chair pose) + ท่าเก้าอี๊บิดตัว (Chair pose twisted)

โยคะลดเอว

เริ่มต้นยืนใน ท่าภูเขา หายใจเข้าช้าๆ ยกมือขึ้นเหนือศรีษะ แขนตรงไม่งอข้อศอก สายตามองขึ้นด้านบน หายใจออก ย่อเข่าลงให้มากที่ สุดจนขนานกับพื้น ยืดอก เหยียดลำตัวให้ตรง อย่าให้ก้มตัวไปข้างหน้า ค้างท่านี้ไว้ 5 ลมหายใจเข้า-ออก

ตำแหน่งขายังอยู่ที่เดิม ลดแขนทั้งสองข้างลง นำฝ่ามือประกบกัน ด้านบริเวณหน้าอก (ท่าพนมมือ) จากนั้นหมุนลำตัวจากช่วงเอว ไปด้านขวา นำข้อศอดซ้ายขัดกัน กับหัวเข่าข้างขวา โดยใช้แรงต้านกัน เพื่อให้เกิดการบิดตัวจาก สายตามองตามไหล่ขวา ค้างท่าไว้ประมาณ 5 ลมหายใจเข้าออก

หลังจากนั้นออกจากท่า โดยหมุนตัวกลับมา แล้วกลับมาสู่ท่าเริ่มต้น ท่าภูเขา และสลับกลับไปทำอีกด้าน

4.ท่า Triangle Pose + Twisted Triangle Pose

โยคะลดเอว

เริ่มต้นจากท่าภูเขา จากนั้นกางเท้า ทั้งสองห่างกัน ประมาณ 2-3ฟุต จากหน้าหมุนปลายเท้าขวา 90องศาไปด้านหน้าของเสื่อ เท้าซ้ายด้านหลังปรับมุมเป็น 45 องศา กางแขนทั้งสองข้าง ออกข้างลำตัว จากนั้นลดมือขวาลงนำฝ่ามือไปวางที่พื้น บริเวณด้านในใกล้กับเท้าขวา

บิดลำตัวด้านซ้ายขึ้น ต้นขวาด้านขวาหมุนเข้าข้างใน ต้นขาข้างหมุนออกด้านนอก ส่งแขนด้านซ้ายชี้ตร งหาเพดาน สายตามองตามมือซ้าย เก็บซี่โครงแขม่วหน้าท้อ อยู่ในท่าประมาณ 3-5 ลมหายใจเข้าออก จากนั้นยกตัวขึ้นนำมือทั้งสองข้างจับที่สะโพก

ปรับระดับสะโพกให้เท่ากัน นำฝ่ามือซ้ายวางที่พื้น ด้านในใกล้เท้าขวา หมุนลำตัวไปด้านขวา โดยที่สะโพกไม่เบี้ยว หมุนเปิดลำตัว ด้านขวาขึ้นข้างบน ส่งแขนขวาเหยียดตึงปลายนิ้ว ชี้ขึ้นหาเพดาน สายตามมองตามมือขวา ค้างท่าไว้ประมาณ 3-5 ลมหายใจเข้าออก ออกจากท่าไปสู่ท่าเริ่มต้น และสลับกลับมาทำอีกข้าง

5. ท่า Forearm Side Plank หย่อนสะโพก + Forearm Side Plank Twisted

โยคะลดเอว

นอนตะแคงขวา เหยียดขาตรง และวางเท้าทั้งสอง ข้างซ้อนกัน วางข้อศอกขวาไว้ใต้ไหล่ระดับ เดียวกันกับหัวไหล่ ปลายแขนชี้ออกจากตัวไป ปลานิ้วมือชี้ออกไปด้านหน้า  กำนิ้วมือเป็นกำปั้น แต่ให้นิ้วก้อย นั้นติดแน่นอยู่ที่พื้น ส่วนมือซ้าย นำมาจับบริเวณสะโพกด้านซ้าย

ยกสะโพกขึ้นให้ห่างจากเสื่อ แบ่งน้ำหนักให้ลงบริเวณ ข้อศอกและบริเวณ ด้านข้างของเท้าขวา เริ่มต้นท่าด้วยลำตัวเป้นแนวเส้นตรง หลังจากนั้น เริ่มเคลื่อนไหวโดยค่อยๆ หย่อนสะโพกลงแต่ไม่แตะพื้น โดยพยายาม รักษาการทรงตัว ทำขยับสะโพก ขึ้นลงแบบนี้ ประมาณ 10 ครั้ง สลับกลับไปทำอีกข้าง

เริ่มต้นด้วยท่า Forearm Side Plank แต่เปลี่ยนตำแหน่งของ มือซ้ายจับที่สะโพก เปลี่ยนเป็นยกมือซ้าย ขึ้นสูงส่งขึ้นหาเพดาน เริ่มการเคลื่อนไหว โดยวางมือซ้าย ลงมาส่งลอดลำตัว ไปด้านขวาพร้อมบิดลำตัว ตามความยืดหยุ่น และความแข็งแรงของร่างกาย สายตามองตามมือซ้าย

หลังจากนั้น ส่งแขนซ้ายกลับไป ชี้หาเพดานดั่งเดิม แล้วเคลื่อนไหว ต่อเนื่องแบบนี้ไปประมาณ 10 ครั้ง อย่างต่อเนื่องตามลมหายใจเข้า-ออก หลังจากนั้น สลับไปทำอีกด้าน

สรุปโดยรวมเกี่ยวกับ โยคะเพื่อลดเอว

การออกกำลังกาย เพื่อจะทำให้ได้ผลตาม ที่เราต้องการนั้น เราจะต้องมีวินัย และปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่างกายและกล้ามเนื้อตามสัดส่วน ที่เราต้องการบริหารนั้น ได้ผลเห็นชัดอย่างแท้จริง ช่วงแรกๆของการฝึกอาจจะทำไม่ได้เต็มที่เท่าไหร่ แต่ก็ขอให้อย่าท้อ เพื่อเอวที่ได้สัดส่วนและเซ็กซี่กันนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

คุณ ฟิต แค่ไหน? นี่คือวิธีที่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องแก่คุณได้

0

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า คุณ ฟิต แค่ไหน?

คุณออกกำลังกายอย่างหนัก และต้องการที่จะทราบ ระดับความฟิต ของร่างกายของคุณ เพื่อที่คุณจได้รู้ว่า วิธีการออกกำลังกายที่คุณทำอยู่ และการรับประทานอาหาร ที่ทำควบคู่กันนั้นได้ผลหรือไม่?

หรือบางทีคุณอาจเป็นคน ประเภทชอบนั่งอยู่กับที่ ดูหนังติดซีรี่ วันๆไม่ลุกไปไหนทำอะไร และก็มานั่งคิดสงสัยว่า สภาพร่างกาย ทางกายภาพของคุณนั้น แย่แค่ไหน?

ข่าวดีก็คือ คุณมาถูกทางแล้ว ในบทความนี้เราได้นำ วิธีการที่ง่ายและรวดเร็ว เพียงวิธีเดียวที่สามารถ บอกคุณได้ว่าร่างกายทางกายภาพของคุณ เป็นอย่างไร และมีภาวะเหมาะสมแค่ไหน

โดยทั่วไปการออกกำลังกาย จะมีการประเมินใน 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การเผาผลาญไขมัน, ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ,ความอดทน ความยืดหยุ่น และองค์ประกอบต่างๆของร่างกาย

เริ่มต้นดูที่ องค์ประกอบของร่างกาย ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ ความฟิตของคุณ เนื่องจากองค์ประกอบของร่างกาย เป็นผลมาจากการออกกำลังกาย ในแบบการเผาผลาญ การออกกำลังที่ เพิ่มความแข็งแรงความอดทน ของกล้ามเนื้อ

และเนื่องจากองค์ประกอบของร่างกาย สามารถวัดได้ง่ายและรวดเร็ว กว่าตัวบ่งชี้สมรรถภาพทางกายอื่น ๆ ที่ต้องมีการทดสอบทางกายภาพจริง

ดัชนีมวลกาย (BMI) และข้อ จำกัด

คุณ ฟิต แค่ไหน?

เมื่อวัดองค์ประกอบ ของร่างกายเป็นตัวบ่งชี้ความฟิต คนส่วนใหญ่ จะนึกถึงดัชนีมวลกายหรือ BMI

ซึ่งค่าดัชนีมวลกาย ที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนัก ของบุคคลกับส่วนสูง ส่งผลให้เกิดผลหาร ที่เป็นการใช้การคำนวน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายด้วย หมวดหมู่ของ BMI ต่อไปนี้:

น้ำหนักน้อย = <18.5

น้ำหนักปกติ = 18.5–24.9

น้ำหนักเกิน = 25–29.9

โรคอ้วน = BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป

คุณสามารถคำนวนหา ค่าดัชนีมวลกายของคุณได้ จากสูตรด้านล่างโดยการใส่ข้อมูล ส่วนสูงและน้ำหนัก ของคุณลงไป และนำตัวเลขไปเปรียบเทียบ กับระดับตัวเลขของ BMI ด้านบน คุณก็จะทราบได้ทันทีว่า คุณอยู่ในระดับใด

BMI Calculator

  • Insert your height with '.' in between m and cm, for example 1.65

ยกตัวอย่างเข่น หากคุณสูง 165 ซม. และน้ำหนัก 70 กก. คุณสามารถคำนวณค่าดัชนีมวลกาย ได้ดังนี้

BMI = น้ำหนัก (กก.) / ((สูง (ม.) x (สูง (ม.))

BMI ตัวอย่าง  = 70 / (1.65 x 1.65) = 25.7

จากตัวอย่างด้านบน จะได้ผลว่าค่าดัชนีมวลกายคุณ จะมีน้ำหนักเกิน (แค่เล็กน้อย)

เครื่อง BMI มีมากมายหลายรูปแบบ ให้ลองเลือกซื้อมา เพื่อเป็นตัวช่วยทำให้เรา เข้าใจมวลดัชนีต่างๆ ในร่างกายของเราให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น ถ้าสนใจลองเข้าไปเลือกดู เครื่องชั่ง BMI ตาม Link ด้านล่างได้นะคะ

เครื่องชั่งมวลดัชนีร่างกาย BMI

แต่เดี๋ยวก่อน คุณอย่าเพิ่งตกใจไปนะคะ คุณไม่ได้เป็นอยู่คนเดียว ลองมาดู Anthony Joshua นักมวยอาชีพจากประเทศสหราชอาณาจักรกันดีกว่าค่ะ

แอนโธนีเอง ก็มีปัญหาเรื่องรูปร่างเช่นกัน เขาอ้วนเกินไป และแอนโธนีก็มีแนวโน้ม ที่จะมีปัญหาความอ้วน เพราะนี่คือสิ่งที่ การคำนวณค่าดัชนีมวลกาย ได้แสดงผลกับเขา นั่นก็คือค่าดัชนีมวลกาย (BMI)ของแอนโธนีอยู่ที่ 27.5 ซึ่งอยู่ภายใต้ระดับของการ “เริ่มอ้วน”

โจชัวนั้นมีส่วนสูงอยู่ที่ 198 ซม. และมีน้ำหนักอยู่ที่ 108 กิโลกรัม ซึ่งโจชัวเขาเป็นแชมป์มวยรุ่นเฮฟวี่เวท 2 สมัย เป็นนักกีฬาที่มีร่างกายสวยงามราวกับ แกะสลักมาจากหิน ทั้งๆที่ Anthony Joshua ก็มีปัญหาด้านตัวเลข และค่าดัชนีมวลกายที่มีปัญหา

How fit are you really?

ถึงแม้จะเป็นที่ ทราบกันดีว่า BMI นั้นมีจุดอ่อน แต่ก็คงได้รับความนิยม และยังมักนำมาใช้เป็นตัวบ่งชี้วัด ความฟิตและสุขภาพทางร่างกาย

แต่สิ่งที่ไม่รวมอยู่ ในการคำนวณของ BMI คือการคำนวนค่าของดัชนีกล้ามเนื้อ และไขมันที่มีความแม่นยำ สัดส่วนความสัมพัทธ์ ของมวลค่าดัชนีทั้งสองอย่าง ในร่างกาย ที่มีการพูดถึงกันมากขึ้น ซึ่งมีความเกี่ยวกับระดับความฟิต ของร่างกายด้วยเช่นกัน

ในสำหรับนักกีฬา ผลค่าดัชนีต่างๆ ที่มีอยู่ในมือนั้น ถือว่าสำคัญ เช่นเดียวกันกับนักเขียน ที่นั่งกดปากกา หรือกดแป้นคีย์บอร์ด ที่นั่งอยู่ท่ามกลางการแพร่ระบาด ของโคโรนา ในสำนักงานหรือที่บ้าน

การวิเคราะห์ความต้านทาน ของกระแสไฟฟ้าทางชีวภาพ (BIA) ทำงานอย่างไรและทำไมจึงดีกว่า

How Bioelectrical Impedance Analysis (BIA) Works

วิธีที่จะใช้พิจารณา ให้ได้ผลที่ชัดเจน ขึ้นว่าร่างกายของคุณเหมาะสม แค่ไหน และแสดงวิธีที่เรียกว่า การวิเคราะห์ความโดยใช้หลักการ การขัดขวางการนำไฟฟ้าทางชีวภาพ (BIA) ที่ซับซ้อนพอ ๆ กับชื่อมันแต่ว่า ใช้งานง่ายมาก

ด้วยการวัดค่า BIA คุณจะก้าวไปยืนอยู่ บนเครื่องชั่งที่ดูล้ำยุค โดยการรับกระแสไฟฟ้า ผ่านร่างกายของคุณสักสองสามวินาที แล้วคุณจะรู้ว่ากล้ามเนื้อ และมวลไขมันที่คุณมีสะสมอยู่ ในแขนขาและลำตัวของคุณ มีมากแค่ไหน Magic? สุดยอดมั้ยล่ะคะ

ทีนี้ถ้าพูดถึงอุปกรณ์ ที่ใช้การวัดค่า BIA คุณสามารถเห็นได้ว่า จะมีการให้บริการ ในสตูดิโอออกกำลังกายบางแห่งที่คุณสามารถวัดผลได้ หรือไม่คุณก็สามารถหาซื้อ BIA Scale เพื่อเก็บไว้ใช้ ที่บ้านเอาไว้ติดตามความคืบหน้า ในการออกกำลังกายของคุณก็น่าสนใจ

เครื่องวัด BIA หาดูได้ที่นี่  BIA Scale 

คุณ ฟิต แค่ไหน? ทำไมเวลาดูกระจก และใช้เครื่องวัดจึงเห็นผลเล็กน้อย เกี่ยวกับสมรรถภาพทางร่างกายที่แท้จริงของคุณ

Why Mirrors and Scales Reveal Little about Your Real Fitness

เมื่อเทียบกับเครื่องชั่งธรรมดา BIA ช่วยให้สามารถกำหนด องค์ประกอบของร่างกาย และวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายได้ เพราะเป็นการให้ข้อมูลสำคัญ ของร่างกาย ข้อมูลมวลร่างกาย ที่ปราศจากไขมัน (เช่นมวลของเซลล์กล้ามเนื้อที่ใช้งานเมตาบอลิซึม บวกกับมวลนอกเซลล์) และมวลไขมัน (FM)

กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่จะมีร่างกายที่เป็นเหมือน Anthony Joshua

ดังนั้นการมองง่ายๆ และสังเกตุตัวเอง ในกระจกจะสามารถบอกเรา ได้เพียงเล็กน้อยเกี่ยว กับการออกกำลังกายของเราเองว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่การเหยียบบนตาชั่ง หรือคำนวณค่าดัชนีมวลกาย สามารถให้ข้อมูล และข้อบ่งชี้โดยประมาณเกี่ยวกับ สุขภาพร่างกายของเราได้มากขึ้น

แต่ทั้งนี้มันก็เป็นเพียง การบ่งชี้แบบคร่าวๆเท่านั้น เหมือนกับเวลาที่เรา มองตำแหน่งของดวงอาทิตย์ จะทำให้เราสามารถรับรู้เรื่อง ของเวลาได้ เราจะสามารถแยกความแตกต่าง ระหว่างเช้ากับเย็นได้ แต่คุณไม่สามารถ ที่จะทำการนัดหมายเวลา อาหารกลางวัน ที่มีการกำหนดเวลา เป็นที่แน่นอนได้

เปอร์เซ็นต์ของมวลกล้ามเนื้อ เป็นตัวบ่งชี้ความฟิต ที่สำคัญ เนื่องจากมวลกล้ามเนื้อ ที่มีการเผาผลาญ จะช่วยรักษาระบบเผาผลาญ ของเราและส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม

กล้ามเนื้อไม่เพียง แต่เป็นอวัยวะเผาผลาญ ที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญ ในการป้องกันอาการปวดหลัง อย่างเช่นเมื่อเรานั่งที่โต๊ะทำงาน เป็นเวลาหลายชั่วโมง เราจำเป็นต้องมีกล้ามเนื้อพยุงที่ดี เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหว เพื่อช่วยคลายกระดูกสันหลัง

ผลจากการใช้เครื่อง  BIA จะช่วยในเรื่องการ Training ได้อย่างไร

Adjust your yoga practice to your BIA findings

เราจะนำข้อมูล ที่ค้นพบจาก BIA ไปใช้ในเรื่องการ Training ได้อย่างไร? มันมีจุดที่ใช้อ้างอิง ที่แตกต่างว่าร่างกายของนั้นเราอยู่ที่ไหน ในแง่ของความฟิต

มีมวลกล้ามเนื้อ และไขมันในร่างกายเท่าไร? มีความไม่สมดุล ระหว่างสองสิ่งนี้ ในร่างกายหรือไม่? และองค์ประกอบของร่างกาย ที่คุณคาดหวังสำหรับ กลุ่มอายุของคุณ คืออะไร?

บนพื้นฐานนี้ คุณสามารถปรับแผน การฝึกของคุณ ให้เหมาะสม เพื่อทำให้การสร้างกลุ่มกล้ามเนื้อ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

ซึ่งถ้าหาก Yoga เป็นหนึ่งทางเลือก ในการออกกำลังกายของคุณ ถือว่าเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยม และมีประสิทธิภาพสูง ในการปรับการฝึกของคุณ ให้เข้ากับสิ่งที่ค้นพบจาก BIA

คุณต้องมีมวลไขมัน มากในร่างกายของคุณหรือไม่? ถ้าไม่ต้องการ คุณก็เลือกการฝึกของคุณ ที่เน้นในลักษณะ การเคลื่อนไหว ที่ต่อเนื่อง โดยการฝึก Vinyasa Yoga ให้มากขึ้น เนื่องจากการฝึกเหล่านี้ สร้างความร้อน ในร่างกายของคุณได้ดี และช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ดีอีกด้วย

หรือต้องการเพิ่มอัตราส่วนกล้ามเนื้อ – อัตราส่วนความแข็งแรง ในร่างกายของคุณ? ก็ให้เลือกโยคะ ที่เป็นแบบ เพิ่มพลังความแข็งแรง ด้วยท่ายืนที่ต้องออกแรง เป็นเวลานาน และการทรงตัวของแขน ที่สร้างความแข็งแรง และทำให้เกิดการสร้างมวลกล้ามเนื้อ

ด้วยวิธีการ BIA ทำให้เราได้ค้นพบ การพัฒนาที่ซ่อนอยู่จากเรา ซึ่งผลข้อมูลบนเครื่องชั่ง สามารถทำให้เรานั้น รับรู้ได้ และมองเห็นได้

อย่างเช่น หากน้ำหนักตัวยังคงที่ หลังจากทำงานบ้าน เป็นเวลาสามเดือน อาจหมายความว่าองค์ประกอบ ของร่างกายไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่ก็อาจหมายความว่า มวลกล้ามเนื้อลดลง และมีการสร้างมวลไขมันขึ้น แต่การ Training มุ่งหวังให้เกิดผลตรงกันข้าม คือการสร้างมวลกล้ามเนื้อ

นอกจากประโยชน์ ต่อสุขภาพแล้ว ยังมีผลข้างเคียงอื่นๆ ที่ดีอีกด้วย แน่นอนที่สุด ร่างกายของคนเรานั้น จะดูดีเมื่อมีกล้ามเนื้อที่ตึงกระชับ มากกว่ากล้ามเนื้อที่หย่อนยาน

การสร้างร่างกายให้มีกล้ามเนื้อที่สวยงาม ไม่ใช่แค่เฉพาะแชมป์โลกมวยอย่างแอนโธนี่โจชัว เท่านั้นที่ทำได้ คุณก็ทำได้เช่นกัน

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

4 วิธีคิดไม่ให้ขี้บ่น และถ้าจำเป็นต้องบ่นควรทำอย่างไร

4 วิธีคิดไม่ให้ขี้บ่น ที่เป็นประโยชน์อย่างมาก ที่คนเราไม่ควรที่จะบ่น กับเรื่องต่างๆ ในชีวิตมากจนเกินไป เพราะการบ่นไม่ได้ส่งผลดีใด ๆ กับเราเลย และการที่คุณบ่นมากเกินไป มันอาจจะเป็นการทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของคุณให้แย่ลงและยังทำลายพัฒนาการต่างๆได้

แต่ถึงกระนั้นพวกเราหลายๆคน ก็มักจะบ่นอยู่เป็นประจำ ซึ่งจากผลการวิจัย เรื่องการบ่นค้นพบว่า คนเราสามารถบ่นได้หนึ่งครั้งต่อนาที ต่อการสนทนาทั่วๆไป นักเขียน Will Bowen ผู้เขียนหนังสือขายดีของ ‘A Complaint-Free World’ ก็มีเขียนประเมินไว้ว่า คนทั่วไปสามารถบ่นได้ ประมาณ 15 ถึง 30 ครั้งต่อวัน

พฤติกรรมการบ่น ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนมองดูเหมือนคนๆนั้น กำลังจะเป็นบ้าเสียให้ได้ มันจะเป็นเรื่องที่ ไม่น่าแปลกใจเลย ถ้าเมื่อเรามองไปรอบตัวเรา ก็จะพบเจอว่าสังคม ที่เราอยู่เป็นไป ในแบบเดียวกัน ที่จำเป็นจะต้องมี การเรียกร้องเพื่อเป็นรักษา ซึ่งสิทธิที่ ควรจะได้รับในสังคม ที่อยู่ร่วมกัน

พฤติกรรมการบ่นที่ เกิดมาจากความไม่พอใจ ความขุ่นมัวหรือแม้แต่ความโกรธ ที่เกิดอยู่บ่อยครั้ง ถือเป็นสัญญาณที่เราจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง และการปรับปรุง ดังนั้นพฤติกรรม การบ่นจึงเป็น การแสดงออกที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นนิสัย ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง อย่างเร่งด่วน

เราไม่จำเป็นต้องหยุดพฤติกรรม ในการบ่นของเรา เนื่องจากการบ่น บางครั้งก็เป็นสิ่ง ที่ได้ผลดีเมื่อเราจำเป็น ต้องเรียกร้องสิทธิ์ ในสิ่งที่เราควรต้องได้รับ เพียงแต่ว่า เราจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้การบ่น อย่างมีสติและควบคุมได้ และในขณะเดียวกัน

เราเองก็ต้องไตร่ตรอง และตระหนักถึงข้อดี และข้อเสียของนิสัยการบ่นนี้ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นนิสัย ที่อาจสร้างสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตัวเราเองได้

4 วิธีคิดไม่ให้ขี้บ่น 

1.นิสัยขี้บ่นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาของคุณ

วิธีคิดไม่ให้ขี้บ่น

เรามาเริ่มต้นเหตุผล ที่ไม่ควรจะมีนิสัยขี้บ่น ด้วยเหตุผลที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงเหตุผลนี้ ชัดเจนมากจนถูกมองข้ามไป การบ่นไม่เพียงแต่จะทำให้ แก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในมือ ไม่ได้แล้วนั้น แต่กลับทำให้การแก้ปัญหา มีความยุ่งยากวุ่ยวายมากขึ้นไปอีก

Antonio Damasio นักประสาทวิทยาผู้มีชื่อเสียงอธิบายไว้ ในหนังสือขายดีของเขาว่า “The Strange Order of Things” หน้าที่หลักของความรู้สึก คือ การรักษาสภาวะสมดุล กล่าวคือความสมดุล เป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต

ด้วยเหตุนี้ พฤติกรรมที่มีจน เกินขนาดของการบ่น จึงเป็นการกระทำที่ผิดพลาดต่อ การแสดงออก ที่จริงแล้วการบ่น คือการแสดงออกซึ่งความบ้าคลั่ง เกินควบคุม และมันก็ยังทำให้ปัญหา ที่มีอยู่ในมือนั้นแย่ลงไปอีก

กี่ครั้งแล้วที่คุณ ได้ยินและได้เห็น หลายคนที่เอาแต่บ่นว่า ไม่มีเวลา ไม่มีความสามารถ หรือไม่มีพรสวรรค์ ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างเช่น การเรียนภาษา ยิ่งเอาแต่การบ่นมากเท่าไหร่ ก็เสียเวลามากเท่านั้น รวมถึงยังสร้างความต่อต้าน สร้าข้ออ้าง ที่เกิดจากภายในอีกด้วย

และที่แย่ที่สุดคือ คนขี้บ่นมักจะทำให้ตัวเองมัก ไม่ไปไหน และมักจะห่างไกล จากการเปลี่ยนแปลง ที่เป็นในเชิงบวกเสมอ

2. การบ่นแสดงออกให้เห็นได้ว่าคุณมีความคิดที่เป็นเชิงลบ

วิธีคิดไม่ให้ขี้บ่น

พฤติกรรมที่มีนิสัย ที่ชอบบ่นอยู่เสมอ ไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตาม มันแสดงให้เห็นซึ่ง แนวความคิดของคุณ ที่เป็นในด้านเชิงลบ เนื่องจากไม่พอใจ ต่อสิ่งที่เห็นหรือสิ่งที่มี ต้องการที่จะ เรียกร้องอยู่ร่ำไป พฤติกรรมการบ่นที่บ่อย จึงเป็นการดึงดูดปัญหาต่างๆ เข้ามาใน ชีวิตคุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ยังไปเสริมสร้าง ให้เกิดความเคยชิน จนทำให้สมองของเรา เชื่อว่านิสัยขี้บ่น ที่เป็นพฤติกรรมอันตรายนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา เราได้สร้างและปรับเปลี่ยน วิถีทางระบบประสาท สำหรับการบ่นให้เป็นเรื่อง ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการบ่น ที่เรื้อรังและนานมากเกินไป

เมื่อคุณลองมองไปรอบ ๆ ในวงสังคมของคุณ ที่คุณรู้จัก มันเป็นเรื่องยาก ที่จะสร้างวิสัยทัศน์ เชิงบวกที่เกี่ยวกับอนาคตของคุณได้ เพราะการบ่นจนเป็นนิสัย ได้บล็อกพลังงานมหาศาล เพื่อกักกั้นความเจริญรุ่งเรือง ในชีวิตของคุณ

3. การมีนิสัยขี้บ่นสามารถทำให้คุณป่วยได้

วิธีคิดไม่ให้ขี้บ่น

ถ้าหากพฤติกรรมในการบ่น ที่ทำให้คุณอยู่ในแนวทางในเชิงลบ ที่กล่าวมาข้างต้น ที่เป็นผลมาจากการบ่น ยังไม่เพียงพอ ยังมีเหตุผลนึงคือ การบ่นมากเกินไปอาจจะทำ ให้สุขภาพร่างกาย ของคุณนั้นอ่อนแอลงได้

จากผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การบ่นและความเครียด ที่เกิดขึ้นอาจทำให้ฮิปโปแคมปัส หดตัว ฮิปโปแคมปัส เป็นส่วนหนึ่งของสมองที่จำเป็นต่อการคิด อย่างชาญฉลาดและมีวิจารณญาณ การสร้างความเสียหาย ให้กับฮิปโปแคมปัส มากจนเกินไป เป็นสิ่งที่น่ากลัวเพราะ เป็นพฤติกรรมที่สร้างการทำลาย เมื่อคุณไตร่ตรองดีๆ การบ่นนั้นทำร้ายสมองส่วนเดียวกันที่ถูกทำลายโดย Alzheimer’s

และหากความเสียหาย ที่เกิดต่อสมองยังไม่เพียงพอล่ะก็ การบ่นมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย ของคุณได้อีก การบ่นจะกระตุ้นให้ ฮอร์โมนคอร์ติซอลหลั่งออกมา ซึ่งจะทำให้สมองของคุณเข้าสู่โหมด ของการต่อสู้หรือขาดสติได้

ในขณะที่คอร์ติซอล ทำหน้าที่ในการวิวัฒนาการ ที่จำเป็นเพื่อความอยู่รอด แต่ฮอร์โมนจากความเครียด ในระดับสูง และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำลายสุขภาพของคุณ เนื่องจากคอร์ติซอล จะเปลี่ยนเส้นทางออกซิเจนในเลือด และพลังงานออกไปจากอวัยวะทั้งหมด ที่จำเป็นต่อการระบบการทำงานโดยทันที

ผลกระทบเหล่านี้ จึงเป็นอันตรายเมื่อเวลาผ่านไป ผลกระทบระยะยาว ที่เป็นอันตรายของคอร์ติซอล ได้แก่ ความดันโลหิตสูงระดับน้ำตาลที่สูงขึ้น และระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคอ้วนโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ

4. การมีนิสัยขี้บ่นจะทำให้คุณเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา และคนดีๆก็จะไม่อยากเข้าใกล้คุณ

ไม่ทำตัวเป็นปัญหาจากนิสัยขี้บ่น

เอาล่ะตอนนี้มันควรจะชัดเจน พอสมควรแล้วว่าเหตุผลง่ายๆ ที่ทำไมไม่บ่นคือมันทำลาย ความสำเร็จในชีวิต และถ้าคุณเป็นคนที่เสพติดนิสัยขี้บ่น คนที่มีเหตุผล จะไม่อยากเข้าใกล้คุณ ดังนั้นคุณจึงถูกทิ้ง ให้อยู่กับกลุ่มคนที่ขี้บ่นเหมือนกัน ซึ่งช่วยกันเสริมสร้างนิสัย ที่ไม่ได้สร้างผลที่ดีเช่นนี้ ให้หายไปหรือลดลงได้ยาก

เพื่อให้คุณประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น คุณควรอยู่ท่ามกลางผู้คน ที่ประสบความสำเร็จ และในบรรดาผู้นำและผู้ประสบความสำเร็จต่างรู้ดีว่า การบ่นเป็นพฤติกรรม ของความคิดที่ไม่ดี ถ้าจะให้ดี ควรเลิกนิสัยขี้บ่นก่อน ที่จะมองหา บริษัทฯ เพื่อหางานทำในอนาคต

ก้าวข้ามความต้องการที่จะบ่นด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อสิ่งๆต่างๆ

รู้สึกขอบคุณต่อส่ิงที่มีในชีวิต

วิธีที่ดีวิธีหนึ่งในลดสภาวะ ที่กระตุ้นให้เกิดการบ่น คือเปลี่ยนความสนใจ ของคุณไปยังสิ่งที่ คุณรู้สึกดีรู้สึกขอบคุณสิ่งอื่นๆที่มีคุณประโยชน์ ที่ดีต่อตัวคุณ การแสดงความขอบคุณแทนการบ่น ไม่เพียงแต่เป็นทัศนคติที่ดี กว่าในการใช้ชีวิตของคุณเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ ประโยชน์ด้านสุขภาพ และการปรับปรุงพัฒนาชีวิตที่จับเกิดได้จริง ฝึกความรู้สึกยินดีและขอบคุณทุกๆวัน ให้ดีที่สุดตั้ง โปรแกรมใหม่ของอคติด้านลบของสมอง โดยฝึกให้รับข้อมูลเชิงบวกมากขึ้น

นอกจากนั้นยังส่ง ผลให้ภาวะซึมเศร้าลดลง เมื่อมีอารมณ์เชิงบวกเพิ่มขึ้น และเมื่อมีความคิดที่ดีขึ้น คุณจะประสบความสำเร็จได้มากขึ้นโดย ไม่จำเป็นต้องบ่น อีกต่อไป

ฝึกวิธีการแสดงความยินดีหรือการขอบคุณต่อสิ่งต่างอย่างไร?

คุณลองเขียน 10 สิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณ และใช้เวลาสักครู่ เพื่อใส่ความรู้สึกลงไป หรือคุณสามารถเขียน เพียงสามสิ่งและอธิบายอย่างละเอียด ประมาณ 2 ถึง 3 ประโยค ในแต่ละข้อ ซึ่งไม่ว่าคุณจะเลือกด้วยวิธีใด การปฏิบัติเพื่อแสดงความขอบคุณดังกล่าว โดยใช้เวลาอย่างน้อย ในแต่ละวัน ประมาณสิบนาที

หรือถ้าจะให้ดี ตอนที่คุณตื่นเช้า ลองทำเลยก็ดีนะ นึกถึงสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณ อะไรก็ได้โดยประมาณ 10นาที แต่ถ้าไม่สะดวกเวลาอื่น ก็สามารถทำได้เช่นกัน หมั่นฝึกทำทุกวัน ทำเป็นประจำใหเป็นกิจวัตรได้ยิ่งดี

ผลที่ได้ในเชิงที่เป็นบวก จะขยายและส่งไปถึง สุขภาพร่างกายของคุณ เนื่องจากการปฏิบัติ เพื่อความรู้สึกขอบคุณเป็นแนวคิดที่ดี สามารถลดฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่เกิดความเครียด ที่อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ จากการบ่นมากเกินไปให้ลดลงได้

วิธีการบ่นเพื่อร้องเรียน อย่างถูกต้องและเหมาะสม หากคุณจำเป็นต้องทำ

การบ่นและเรียกร้องอย่างถูกต้อง

ถึงแม้ว่าการบ่นหรือ การร้องเรียน จะไม่ได้แสดงถึงพฤติกรรม ที่ควรจะทำมากนัก แต่ถ้ามีสถานการณ์ ที่จำเป็นต้องได้รับความถูกต้อง และการร้องเรียนเป็นหนทางหนึ่ง ที่จะทำให้ได้รับ การรับอย่างยุติธรรม

เมื่อคุณต้องบ่น เพื่อแสดงออกซึ่งการร้องเรียน ก็ขอให้ทำโดยใช้แนวทาง ที่เน้นไปในทาง การแก้ปัญหาอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงการระบายอารมณ์ แต่ปฏิบัติตามจุดประสงค์ ของการร้องเรียนว่าคืออะไร การมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนช่วยให้มั่นใจ ได้ว่าคุณจะไม่บ่นไปเรื่อยเปื่อย

เช่นเดียวกับสถานการณ์ใด ๆ ที่คุณอาจพบเจอในชีวิต มีเพียงสามทางเลือก ที่สมเหตุสมผล 1 คุณยอมรับสิ่งต่าง ๆ ตามที่เป็นอยู่ 2 คุณออกจากสถานการณ์ 3 คุณเปลี่ยนแปลงมัน

โอเคสมมุติว่าในเหตุการณ์นี้ ตอนนี้คุณเลือกที่ ต้องการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้ดีขึ้น

สมมติว่าคุณสั่งอาหารจานโปรดในร้านอาหารที่คุณทานเป็นประจำ แต่วันนี้รสชาติของอาหารมันเค็มเกินไปดังนั้นคุณจะต้องเริ่มต้นการร้องเรียนของคุณด้วยคำพูดเชิงบวกที่จะไม่ทำให้พนักงานเสิร์ฟ เข้าสู่การป้องกันหรือการปฏิเสธทันทีโดย พูดว่า“ ฉันชอบมาที่นี่เพื่อทานอาหารอร่อย ๆ เสมอ”

จากนั้นให้รายละเอียดและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการร้องเรียนของคุณ แต่คุณอย่าพูดว่า“ วันนี้พาสต้าของฉันกินไม่ได้” แต่ให้คุณว่า“ ฉันกลัวว่าวันนี้ซอสจะเค็มจนไม่ใช่อาหารจานเดิมที่เคยทานอีกต่อไป”

สุดท้ายจบลงด้วยข้อความเชิงบวก เพราะสิ่งที่คุณต้องการคือการได้รับจานโปรดจานใหม่และรักษาบรรยากาศที่ดีตามที่คุณต้องการเพื่อมาที่ร้านอาหารที่เป็นร้าประจำของคุณ

หรือบางทีอาจพูดว่า“ ฉันเข้าใจว่าสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้ แต่ฉันจะขอบคุณมากถ้าคุณขอให้แม่ครัวเตรียมอาหารจานอื่นที่มีรสชาติตามปกติที่เคยทำให้ฉันทานจะดีกว่า” การมองโลกในแง่ดีไม่เพียง แต่ช่วยให้บริกรรักษาใบหน้าและตอบสนองในเชิงบวก แต่ยังอาจให้คุณได้รับของหวานฟรีอีกด้วย

เลิกนิสัยการบ่นอย่างถาวร

เลิกบ่นอย่างถาวร

แล้วต้องทำอย่างไรต่อไป?

เริ่มต้นด้วยการคิดไตร่ตรอง เหตุผลทั้ง 4 ประการที่ไม่ควรมี เสพติดนิสัยบ่น จนกว่าความตั้งใน การแก้ไขของคุณจะหนักแน่นเพียงพอ เพื่อที่คุณจะสามารถ เข้าใจระหว่างอารมณ์ ที่กระตุ้นให้เกิดการบ่น และปฏิกิริยาต่างๆ อย่างมีสติของคุณ ที่จะคิดได้ว่าจะไม่บ่น ไม่คุณจะเลือกว่าจะจากไป หรือเปลี่ยนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเอง

จากนั้นต่อไป เปลี่ยนอุปสรรคหรืออารมณ์ ที่กระตุ้นให้เกิดการบ่น ให้เป็นตัวเสริม ในการให้เกิดการกระตุ้น ให้เกิดการพัฒนา คุณสามารถทำได้โดยสร้างนิสัย ที่ชัดเจนซึ่งจะเปลี่ยนอารมณ์เชิงลบ (ตัวกระตุ้นการกระทำ) ให้เป็นตัวกระตุ้นเชิงบวกสำหรับการเติบโต เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

ขอใช้คำพูดนี้ของ Friedrich Nietzsche ซึ่งเป็นปราชญ์ด้าน Growth-Hacking คนแรกของโลก:

‘สำหรับมนุษย์เหล่านั้น ที่มีความกังวลใด ๆ สำหรับฉัน ฉันต้องการความทุกข์ทรมาน ความรกร้าง การเจ็บป่วย การปฏิบัติอย่างโหดร้ายความขุ่นเคือง – ฉันหวังว่าพวกเขาจะไม่คุ้นเคยกับการดูถูกตนเองอย่างสุดซึ้ง การทรมานจากความไม่ไว้วางใจในตัวเองความเลวทราม ของผู้สิ้นหวัง: ฉันไม่สงสารพวกเขาเพราะฉันหวังว่าพวกเขาจะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถพิสูจน์ได้ในวันนี้ว่าสิ่งหนึ่งมีค่าหรือไม่ – สิ่งนั้นยังคงอยู่ ‘

ทุกคนมีค่า มีตัวตน จงอยู่ยิ่งใหญ่กว่าเสียงบ่นหรือเสียงร้องเรียน และจงสร้างความเปลี่ยนแปลง ที่คุณอยากเห็นในโลกใบนี้

บทความที่เกี่ยวข้อง

อยู่คนเดียวให้เป็น อยู่ให้มีความสุข

0

บทความนี้ มีความตั้งใจที่จะเขียนขึ้นมา เพื่อเป็นการให้กำลังใจกับตัวเอง และเป็นการย้ำให้อยู่กับสถานการณ์จริง อยู่คนเดียวให้เป็น ต้องอยู่ให้ได้ และต้องอยู่ให้มีความสุข เขียนไปก็น้ำตาไหลไปเนอะ เสียใจจังไม่รู้จะอธิบายยังงัย เมื่อสุดท้ายความพยายาม ในการใช้ชีวิตกับ เรื่องของความรักมันไปต่อไม่ได้

ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น จากการกระทำของตัวเราเอง ที่ไม่ยอมที่จะเข้าใจตั้งแต่แรก และไม่ยอมเปิดใจรับ กับความเป็นจริงว่า ความสัมพันธ์ที่มี ในครั้งนี้นั้นมันไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ ฝืนตัวเองหลอกตัวเอง อยู่นานว่ามันน่าจะ ไปด้วยกันได้ คาดหวังกับ เรื่องของเวลาน่าจะทำให้ อะไรมันผ่านไปได้

แต่สุดท้ายเรา ก็หนีความจริงไม่พ้น มันทำใจลำบากเนอะ เสียดายเวลา เสียดายสิ่งดีๆที่ทำร่วมกันมา แต่เราเองไม่ต้องการ ที่จะทำให้คนที่เรารัก และอยู่ด้วยไม่มีความสุข ในชีวิตของเค้า เราก็ต้องเลือก ที่จะเดินออกมาเอง และอยู่ตัวคนเดียวให้ได้อีกครั้ง โดยที่ไม่มีเค้าอยู่ตรงนั้นอีก

เขียนไปก็นึกไปว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อทำให้การกลับไป เริ่มต้นใหม่โดยที่ต้องอยู่คนเดียว เราจะทำอย่างไรดี มันต้องเริ่มจากตรงไหนก่อน แล้วมันจะมีอะไรบ้าง ที่เราทำแล้วจะทำให้เรา มีความรู้สึกที่แข็งแรง และแน่วแน่มากขึ้น กับการตัดสินใจในครั้งนี้

อยู่คนเดียวให้เป็น สิ่งที่ควรต้องทำ

ปรับความคิด

อันดับแรก คือ การจัดการกับความคิด

ความคิดเป็นเรื่องที่สำคัญ กับการตัดสินใจ และการจัดการกับแนวทาง ที่เราจะใช้เพื่อนำพาให้ชีวิต ของเรานั้นเป็นไปในรูปแบบใด ถามตัวเองว่า ต้องการที่จะพาให้ชีวิต ของเรานั้นไปพบเจอกับอะไร การทนอยู่บางครั้ง ก็สร้างความเจ็บปวดให้กับทั้งสองฝั่ง เนื่องจากไม่กล้าที่จะยอมรับความจริง

เพราะความจริงมักจะไม่ค่อยมีใคร ที่ชอบหรืออยากที่จะรับฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่สร้างความเจ็บปวด ต่อความรู้สึก ดังนั้นถ้าเราปรับเปลี่ยนความคิด และมองให้เห็นกับ สถานการณ์ตรงหน้าว่า มันไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้าฝืนมากไปกว่า นี้มันจะกลายเป็นสิ่งที่ เราทำลายกันเอง โดยไม่รู้ตัว

จัดการกับความคิดเราเสียใหม่ เราทั้งคู่มาเจอกัน มาใช้เวลาที่มากมายด้วยกัน เป็นเรื่องที่พิเศษสำหรับคนสองคน แต่เมื่อทุกอย่างมันเริ่ม ที่จะไม่เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องฝืน เราไม่มีความต้องการ ที่จะทำร้ายคนที่เรารักและผูกพันธ์ แต่ด้วยมีเหตุที่จำเป็น มันจึงทำให้เรา ไปต่อด้วยกัน อีกไม่ได้แล้ว

เราต้องยอมรับและเข้าใจว่า ทั้งสองฝ่ายควรที่จะมีความสุข และมีความรู้สึกดีๆกับ การใช้ชีวิตของตัวเอง ถ้าเมื่อไหร่สิ่งเหล่านี้ หายไปนั่นเท่ากับว่า เราต้องกลับมาทบทวน ต่อการกระทำของเราว่า มันส่งผลอย่างไร ต่อความสัมพันธ์ของเราในครั้งนี้ ถ้ามันเอนเอียงไปในด้านที่แย่ ก็ต้องจัดการและแก้ไขซะใหม่

คิดไปในทางที่ดีว่า ก็ยังดีกว่าที่จะปล่อยให้ ทุกอย่างมันเลวร้ายลงไปกว่านี้ จนไม่สามารถที่จะกลับมา มองหน้ากันใหม่ได้ อย่างน้อยก็คงเหลือไว้ ซึ่งความเป็นเพื่อกันก็ยังดี เพราะอย่างน้อยครั้งนึง เราทั้งคู่ก็เคยเป็นคนที่ ครั้งนึงในช่วงเวลานึงของชีวิต ได้เคยใกล้ชิดและใช้เวลาอยู่ด้วยกัน

จัดสรรเวลา

อันดับที่สอง คือ จัดการกับเวลาของชีวิตในแต่ละวัน

ก่อนหน้านี้เวลาที่มีของเราในแต่ละวัน เราได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ร่วมกันกับคนที่เรารัก ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไร จะไปไหน มักจะไปทำและไปด้วยกันเสมอ เมื่อทุกอย่างกลับมาในจุดเริ่มต้น เวลาทั้งหมดที่มี กลับมาเป็นของตัวเราเองทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องคิดและวางแผนว่าเราจะนำเวลาในส่วนที่มีนั้นไปใช้ร่วมกันอย่างไร

ดังนั้นช่วงแรกๆ อาจจะตั้งตัวไม่ทันว่า วันนี้เริ่มต้นของวันใหม่เราจะทำอะไร กับช่วงเวลาที่เหลือ ทั้งหมดในหนึ่งวัน สิ่งที่เราสามารถทำได้ เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นกับตัวเราเอง เราจะต้องสร้างพลังงานที่กระตือรือร้นให้กับตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดภาวะ ของการซึมเศร้าหรือเฉื่อยชา

วางแผนและสร้างกิจกรรมให้กับตัวเอง ที่ทำให้ตัวเราเองรู้สึกว่า ทำแล้วรู้สึกดีกับตัวเอง

กิจกรรมที่สร้างความรู้สึกที่ดีให้กับตัวเอง

อยู่คนเดียวให้เป็น 1

การออกกำลังกาย การออกกำลังกาย เป็นกิจกรรมที่ดีมาก สำหรับด้านสุขภาพทางร่างกาย และสุขภาพทางจิตใจ การออกกำลังกาย จะทำให้เราได้อยู่ กับตัวเองอย่างมีสมาธิ เป็นการฝึกจิตที่ดีเยี่ยม เปรียบเสมือนเราได้นั่งสมาธิ จะทำให้เราเรียนรู้ และมุ่งมั่นอย่างจดจ่อ อย่างมั่นคงและแข็งแรง

สารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารที่สร้างความรู้สึก สดชื่นกระปรี้กระเปร่า เป็นสารที่สร้างให้ร่างกาย และจิตใจรู้สึกมีความสุข หลังจากการออกกำลังกาย จะช่วยทำให้สมอง ของเราปลอดโปร่ง และพักเรื่องความเศร้าเสียใจ จากเหตุการณ์ต่างๆได้ดี

เพื่อเป็นการสร้างแรงกระตุ้น ให้มีความต้องการ อยากออกกำลังกายมากขึ้น ลองหาชุดออกกำลังกายสวยๆ สีสันสดใสซักชุดสองชุด มาช่วยเพิ่มแรงจูงใจ ในการอยากกำลัง ก็น่าสนใจดีนะคะ เพราะผู้หญิงแกร่งอย่าง เราอุปกรณ์พร้อมใจพร้อมก็ลุยเลยค่ะ

อยู่คนเดียวให้เป็น 2

การอ่านหนังสือ ลองหาหนังสือที่น่าอ่าน ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อทำให้การอ่านหนังสือ ในครั้งนี้นั้น เกิดการสร้างแรงบันดาลใจ ที่ดีๆให้กับตัวเอง การเปิดความคิด และลองอ่านเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับคนอื่น หรือเรื่องราวที่แปลกใหม่ จะทำให้เรานั้นไม่จม อยู่แต่กับเรื่องของตัวเราเอง

การอ่านหนังสือ อาจจะทำให้เรานั้นค้นพบว่า ยังมีเรื่องราวต่างๆ อีกมากมายที่เป็นเรื่อง ที่เรานั้นยังคิดไม่ถึง หรือไม่เคยรู้มาก่อน นั้นมันมีอยู่ หรืออาจจะทำให้เรานั้นรับรู้ได้ว่า เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรา โดยเฉพาะในเรื่องของความรัก มันไม่ได้เป็น เเรื่องที่หนักหนา หรือเลวร้ายที่สามารถเกิด กับเราได้คนเดียว

หรืออาจจะเลือก อ่านหนังสือที่เป็น การเสริมสร้าง และพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้ เพื่อนำไปพัฒนาตนเอง ให้มีความรู้ความสามารถที่มากขึ้น ก็ยิ่งช่วยทำให้เรารู้สึกดี กับตัวเราเองมากยิ่งขึ้น การสร้างให้คุณค่าให้กับตัวเรา จะเป็นหนทางนึง ที่ทำให้เรานั้นรู้สึกดีๆ มั่นใจและเข้มแข็ง

เปลี่ยนห้องใหม่

จัดตกแต่งปรับเปลี่ยนห้องพักอาศัย วิธีนี้เป็นวิธีที่สมควร ที่จะลองทำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกรณีที่มี ภาพหรือเรื่องราว ที่ยังอยู่ในความทรงจำ และเมื่อตื่นขึ้นมาก็ยังคง เห็นภาพเดิมๆ มันเลยยังทำให้ นึกถึงอยู่เสมอ ดังนั้นลองลุกขึ้นมา ปรับเปลี่ยนตำแหน่งต่างๆ ของเครื่องใช้สอยในห้อง เพื่อสร้างบรรยากาศใหม่ๆ

เพื่อทำให้เมื่อเราตื่นนอนมา ในแต่ละวันทำให้นึกถึง เรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้น นั้นให้มันน้อยลงบ้าง ลองปรับเปลี่ยนหรือตกแต่ง เพิ่มเติมโดยเฉพาะการเพิ่มสีสัน เพื่อสร้างความสดใส ก็เป็นเหมือนการช่วยบำบัด ทางด้านอารมณ์และความรู้สึกได้อย่าง มีประสิทธิภาพ

ในบางคนอาจ จะมีความรู้สึกรุนแรง ถึงขนาดที่ต้องการ ที่จะเปลี่ยนที่พักอาศัย หรือเปลี่ยนแปลงจากสถานที่ ที่อยู่เดิมไปอย่างสิ้นเชิง เพื่อช่วยทำให้ลืม และไม่ต้องเห็นหรือ นึกถึงอีกต่อไป แต่ถ้าบางคนถ้า ไม่สามารถที่จะทำได้ การเปลี่ยนแปลง โดยการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง หรือตกแต่งเพิ่มเติมก็สามารถที่จะช่วยในเรื่องความรู้สึก ได้เช่นเดียวกัน

อยู่คนเดียวให้เป็น 4

ออกไปในสถานที่ที่คุณอยากไป เดินทางไปในสถานที่ที่เราอยากไป และยังไม่มีโอกาศได้ไป อาจจะด้วยเหตุผลใดๆก็แล้วแต่ ออกไปสูดอากาศ ออกไปสร้างความรู้สึก และสร้างประสบการณ์ กับตัวเองดูบ้างว่ามันเป็นอย่างไร เราอาจจะค้นพบได้ว่า จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้แย่

มันจะสร้างความรู้สึก ที่สงบและสามารถผ่อนคลาย การเดินทางไปไหน มาไหนคนเดียว จะทำให้เรารู้สึกถึงการตื่นตัวอย่างเต็มที่ รู้สึกถึงการเป็นอิสระจากทุกอย่าง และเราจะสนใจ และให้ความสำคัญ กับตัวของเราอย่างจริงจัง ออกไปสร้างและรับพลังงานแบบนี้ เพื่อสร้างความแข็งแรง ให้กับตัวของคุณเอง

อันดับสุดท้าย คือ วางแผนและตั้งเป้าหมายให้กับชีวิต

หยุดพักเรื่องของความรัก และความต้องการ ที่จะต้องมีคนอื่นเข้ามา ในชีวิตของตัวเรา หยุดมองหาใคร ก็ตามเพื่อคิดว่าจะนำเข้ามาแทนที่ และช่วยรักษษความรู้สึก ที่เกิดขึ้นนั้นให้มันดีขึ้น หันกลับมาสนใจตัวเอง ตั้งคำถามกับตัวเองว่า  สุดท้ายในชีวิตของเรานั้นต้องการอะไร?

เมื่อเรามีเป้าหมาย ให้กับชีวิตของเราได้ชัดเจนแล้ว เราต้องมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้เป้าหมาย ของเรานั้นประสบกับความสำเร็จ  เราชัดเจนในสิ่งที่เราต้องการ และเราจะทำมันให้มันสำเร็จ ไม่ว่า ณ วันนี้เราจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เราก็จะอยู่แบบนี้แหล่ะ เพื่อตัวเราและเพื่อเป้าหมาย ของเราที่รอเราอยู่ข้างหน้า

ตั้งเป้าหมายชีวิต

บทส่งท้าย

การอยู่คนเดียวมันไม่ น่ากลัวเท่ากับอยู่กับคนที่ไม่ใช่ ถ้าต้องอยู่กับคน ที่ทำให้ชีวิตของเรา ไม่มีความสุขและมีอิสระในการใช้ชีวิตที่น้อยลง มันเป็นตัวพิสูจน์ที่ชัดเจนเลยว่า เรากำลังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ให้กับชีวิตของเรา และกับคนที่เราอยู่ด้วย

ความรักเป็นสิ่งล้ำค่า เป็นความรู้สึกที่สวยงาม เมื่อมันอยู่ถูกที่ถูกทาง แต่ถ้าเรายังไม่สามารถ ที่จะพบเจอจุดที่เหมาะ และเป็นที่ของเราอย่างแท้จริง เราก็ควรที่จะหันกลับมา สนใจตัวของเราให้ดี เพื่อเป็นการแสดง ความรับผิดชอบต่อตัวเอง และเป็นการไม่แสดงออก ซึ่งการเอาเปรียบต่อคนอื่น

บทความที่เกี่ยวข้อง

5 สัญญาณที่ควรเลิกกับแฟน

5 สัญญาณที่ควรเลิกกับแฟน คงไม่มีใครที่ต้องการ ให้ความรักของเรานั้น ต้องเดินทางมาถึงจุด ที่ไม่สามารถที่จะไปทางไหนต่อได้ และจำเป็นที่จะต้อง เลิกรากันไป เพราะกว่าคนสองคน กว่าจะเดินทางมาพบเจอกันพบกัน และตกลงใช้เวลาด้วยกัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ความรักก่อตัว เวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีทุกข์บ้างสุขบ้าง ก็มองเห็นได้ว่าเป็นเรื่อง ที่ธรรมดาของการอยู่ร่วมกันของคนสองคน เมื่อปัญหาระหว่างทาง มีเข้ามาก็แก้ไขกันไป ทีละเรื่องๆ เพื่อให้คนสองคนนั้น เกิดความเข้าใจกัน และสามารถ ที่จะอยู่ร่วมกันต่อไปได้

แต่อะไรล่ะ ที่มันเป็นสถานการณ์ หรือสัญญาณที่ควรเลิกกับแฟน ที่เราควรต้องเปิดใจ และทำความเข้าใจ อย่างแท้จริงว่า มันคงเป็นถึงเวลาแล้ว ที่ต้องยอมรับให้ได้ว่า ความรักความผูกพันธ์ ที่เรามีให้กันนั้น มันไปไม่รอดอีกต่อไป ไม่ว่าเราจะฝืน หรือเลือกที่จะมองผ่าน และคาดหวังว่าเวลา จะเป็นตัวช่วยแก้ไขให้มันดีขึ้น

สัญญาณที่เปรียบเสมือน ฆ้อนอันใหญ่ ที่ทุบลงบนหัวของเรา ให้แตกและกระจายออกมา ให้เห็นซึ่งรายละเอียด ตรงหน้าเรา ได้เห็นกับตาตัวเอง และกระเทาะลงไปที่จิตใจ และจิตใต้สำนึกว่า มันไปด้วยกันไม่รอดแล้ว ตื่นซะทีอย่าหรอกตัวเอง อีกต่อไปเลย

5 สัญญาณที่ควรเลิกกับแฟน

สัญญาณที่ควรเลิกกับแฟน1

1. ความคิดเห็นเริ่มไม่ตรงกัน

ในช่วงที่คบกันช่วงแรกๆ ด้วยนิสัยและความชอบ ที่มีแนวโน้มที่ใกล้เคียงกัน หรืออาจจะมีบางแง่มุม ที่ไม่ตรงกัน แต่ยังพูดคุย สร้างความเข้าใจกันได้ไม่ยาก จึงทำให้คนทั้งคู่ ใช้เวลาด้วยกันได้ อย่างใกล้ชิดและดูเหมือน เข้าอกเข้าใจกันได้ดี รวมถึงยังมีความรู้สึก และความต้องการที่จะแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นด้วยกันอยู่เสมอ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป และเมื่อคนทั้งคู่ เริ่มมีความรู้สึกว่า ทำไมเราเริ่มที่จะไม่เข้าใจ ในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งพูด หรือที่เค้าพยายาม ที่จะแสดงออกให้เห็น แต่กลับกลายเป็นเรื่อง ที่เข้าใจผิดไปคนละทิศละทาง นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่า คนทั้งคู่เริ่มที่จะเชื่อมต่อกัน ไม่ได้เหมือนเดิม

เมื่อเราพูดคุยกันคนละภาษา มันจึงเป็นยาก ที่จะทำให้ความรัก ของคนทั้งคู่นั้น ไปต่อด้วยกันได้เหมือนเดิม มันจะมีแต่การสร้างอารมณ์ ที่ขุ่นมัวให้แก่กัน เพราะทั้งคู่ ไม่สามารถที่จะแลกเปลี่ยน หรือพูดคุยกันได้ จนกลายเป็นการทะเลาะกันเองไปมาในที่สุด

สัญญาณที่ควรเลิกกับแฟน 2

2. รอยยิ้มหายไป

แน่นอนที่สุด รอบยิ้มจะเกิดขึ้นได้ ก็คือในตอนที่คนเรา นั้นมีความสุข กับชีวิตของเรากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ หรือกับคนที่เราอยู่ด้วย คนที่ทำให้เรานั้น ยิ้มได้อยู่เสมอ เมื่อรอยยิ้มหายไป ความหมายมันชัดเจนคือ ความสุขนั้นมันหายไป เมื่อความรัก เริ่มไม่มีความสุข คำตอบมันคือ?

ชัดเจนมากที่สุด ว่าไปกันไม่รอด เมื่อความรักที่มีมันไม่มี ซึ่งความสุขอีกแล้ว แล้วเราจะต้องทน อยู่ไปเพื่ออะไร หรืออายที่จะต้องไปเริ่มต้นใหม่ อายถ้ามีคนรู้ว่าความรักไปไม่รอด แต่เชื่อมั้ยว่า เรื่องแบบนี้ไม่ต้อง ไปสนใจคนอื่น เพราะเราเองนั่นแหล่ะ ที่เจ็บปวดที่สุด

เพราะถ้าเรายังฝืนคบ กันอยู่อย่างนี้เรื่อยไป มันแย่มากนะบอกเลย อาจจะทำให้เรานั้น เกิดเป็นโรคซึมเศร้าก็ได้ เพราะจิตใจมันหดหู่ ที่ต้องเห็นหน้ากัน ต้องอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อไหร่ที่มองหน้ากัน รอยยิ้มนิดหน่อย ก็ไม่มีแทบจะนับครั้งได้  แล้วถ้ามันเป็นแบบนี้ ต่างคนต่างไป น่าจะดีกว่าเห็นด้วยมั้ยคะ

สัญญาณที่ควรเลิกกับแฟน 3

3. อยู่คนเดียวมากขึ้น

ใช่ค่ะโดยปกติ จะเป็นสิ่งที่รู้กันดีว่า คนรักกันคบกันเป็นแฟนกัน โดยส่วนมากตัว มักจะติดกันอยู่ตลอด ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันสองคน กินข้าวไปเที่ยวดูหนัง ทำกิจกรรมต่างๆ เป็นต้น เพราะมันเป็นมีความสุข ที่ได้ทำหรือแบ่งปันประสบการณ์ ต่างๆร่วมกัน กับคนที่เรารัก

แต่เมื่อเรารู้สึกว่า เราเริ่มอยู่กับตัวเองมากขึ้น ไปไหนมาไหน คนเดียวมากขึ้น ความรู้สึกถึงความต้องการ ที่จะให้อีกฝ่ายนั้น ทำด้วยกันมันเริ่มมี ให้เห็นน้อยลง ต่างฝ่ายต่างมีวาระ หรือช่วงเวลาในการทำแตกต่างกัน เริ่มมีการสร้างเงื่อนไข เพื่อให้เกิดเป็น สิ่งที่ทำร่วมกันนั้น เป็นไปได้ยากขึ้น

เมื่อต่างฝ่ายต่างเริ่ม ที่จะเลือกที่จะอยู่คนเดียว และเวลาส่วนใหญ่ ที่ใช้ในการอยู่คนเดียว เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนอย่างนึง ที่ทำให้ความลังเล ที่ว่าความรักของเรา นั้นต่อไปจะเป็นอย่างไร ชัดเจนมากว่า ในที่สุดก็คงหมดเวลา ที่จะฝืนคบกันอีกต่อไป

สัญญาณที่ควรเลิกกับแฟน 4

4. ความรู้สึกอยากใกล้ชิด อารมณ์ Romantic หายไป

การแสดงออกซึ่งความรัก และความต้องการ ที่อยากจะอยู่ใกล้ชิดกัน เช่น การกอด การหอม หรือความต้องการเรื่องบนเตียง เป็นต้น เหล่านี่หายไป ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่เริ่มที่จะแสดงออกให้เห็น ว่าหมดความรู้สึกในเรื่องแบบนี้กับ คนที่เค้ารักไปแล้วโดยสิ้นเชิง

เพราะในสถานะ ของคนที่คบกันหรือรักกัน ความต้องการในด้านนี้ มักจะเกิดขึ้นได้ โดยมาจากความรักที่มีให้กัน ไม่ใช่เป็นความต้องการ ที่จะปลดปล่อยอารมณ์ทางด้านนี้ โดยต้องการสนองธรรมชาติ ของร่างกาย เมื่อความรู้สึกในเรื่องนี้หายไป ความรักของคนทั้งคู่ ก็คงจะไปต่อด้วยกันได้ยาก

เพราะเรื่องนี้ถือ เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญ ในการสร้างความสัมพันธ์ ให้เกิดความแน่นแฟ้น และทำให้ความสัมพันธ์เกิดความยั่งยืน และลดซึ่งปัญหาการนอกใจ หรือปล่อยให้มีบุคคล ที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นการแสดงออกทางร่างกายบาง ครั้งก็ชัดเจนกว่าคำพูด ว่าเราเลิกกันเถอะ

รำคาญ หงุดหงิด

5. หงุดหงิดรำคาญใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ

พูดอะไรก็ดูจะไม่เข้าหู ดูน่ารำคาญไปเสียทุกอย่าง ยิ่งพูดก็ยิ่งทะเลาะกัน มองเห็นสิ่ง ที่อีกคนกำลังทำอยู่ เป็นเรื่องน่าหงุดหงิด มีอารมณ์และความรู้สึก ที่ไม่เห็นด้วย และไม่ชอบที่จะรับรู้ หรือเข้ามามีส่วนร่วมใดๆเลย อยู่กันยากเลยแบบนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็แล้วแต่กลาย เป็นดูแย่ไปเสียหมด

คุณคงไม่ชอบ ที่จะต้องอยู่หรือใกล้ชิด กับคนที่คุณ จะต้องระวังทุกๆคำพูด ทุกๆการกระทำ ที่คุณมีความต้องการ ที่จะแสดงออกมา หรือชอบที่จะทำมันเสมอ เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณชอบ และคุณมองว่ามันเป็น ตัวตนของคุณเอง ซึ่งคุณก็เป็นแบบนี้มานานมากแล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

แต่ในสถานการณ์ ณ ตอนนี้ เรื่องต่างๆที่ ไม่เคยเกิดขึ้น เริ่มเกิดขึ้นและ ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด และไม่เป็นตัวของตัวเอง ชีวิตหดหู่ สีสันของชีวิตจากช่วงที่ ก่อนหน้านี้ ที่มีหลากหลายสีสัน สดใสสลับกันไปมา แต่ ณ ตอนนี้กลับกลายเป็นเริ่มจะมีแค่โทนสีเดียว ที่อึมครึม มึดๆ ไม่สดใส ออกไปในแนวเย็นชา ไร้ความรู้สึก

กลายเป็นการอยู่ด้วยกัน แบบไร้ความรู้สึก ไม่กระตือรือร้น ไม่ตื่นเต้น ตื่นนอนมาเห็นหน้ากันก็ ดูไร้ชีวิตชีวา อยู่กับไปแบบซอมบี้ ปราศจากซึ่งรสชาติของชีวิต ฝืนคบกันต่อไป มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น แยกย้ายค่ะดีที่สุด

บทส่งท้าย

ความเปลี่ยนแปลง โยเฉพาะในเรื่อง ที่กระทบต่อความรู้สึก ที่ละเอียดและอ่อนไหว ในเรื่องของความรัก ไม่มีใครที่ชอบ ที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเริ่มต้นใหม่อยู่เสมอ แต่เมื่อมันถึงเวลา มันก็เป็นเรื่อง ที่จำเป็นและสำคัญ ที่ไม่ควรที่จะมองข้าม ไม่ว่ามันจะส่งมา ถึงเราในลักษณะใดก็ตาม

เปิดใจเปิดตาเปิดสมอง ให้กว้างและต้องอยู่ และยอมรับกับความเป็นจริงให้ได้ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันมาถึง ไม่มีอะไรที่มั่นคง และถาวรเสมอไป โดยเฉพาะในเรื่อง ของความรัก ความสัมพันธ์ ตัดสินใจอย่างมีสติ และเลือกเส้นทางที่ไม่ทำร้ายตัวเอง และคนที่เรารัก ก่อนที่มันจะทำลาย ทุกอย่างจนไม่เหลือ แม้กระทั่งความสัมพันธ์ ที่ดีๆต่อกัน

บทความที่เกี่ยวข้อง

คำพูดกินใจ ที่สร้างแง่คิดและสร้างแรงบันดาลใจ

0

คำพูดกินใจ ที่สร้างแง่คิด และสร้างแรงบันดาลใจ ที่มีความหมายให้เกิดการต่อสู้ต่อปัญหา ที่มีมากมายที่รุมเร้า กับชีวิตของหลายๆคน ในหลายๆครั้งที่คนเรานั้น เจอปัญหาเกิดความรู้สึกท้อแท้กับชีวิตของตัวเอง และในขณะที่ชีวิตกำลังหมดซึ่งแรงที่จะต่อสู้ ประโยค หรือ คำพูดที่กินใจ กลับสร้างให้เกิดปาฏิหาริย์ให้กับชีวิตได้

ผู้ที่ประสบความสำเร็จ กับการค้นหา เพื่อค้นพบกับสิ่งที่จะทำให้ชีวิต ของพวกเค้าเหล่านั้น ได้ประสบกับความสำเร็จ ไม่ว่าจะต้องพบเจอ เรื่องที่สมหวังเรื่องที่ผิดหวัง ล้มลุกคลุกคลานมามากมาย เค้าเหล่านั้นได้ทิ้งข้อความ เพื่อส่งต่อให้เป็นกำลังใจ เพื่อให้คนที่กำลังเจอกับปัญหา ที่เค้าเหล่านั้นเคยผ่านมาแล้ว ให้ลุกขึ้นสู้และเดินไปในทาง ที่ควรจะต้องไปต่อ

7 ประโยคคำพูดที่กินใจ จากบุคคลที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในชีวิต

“You can’t change how people treat you or what they say about you. All you can do is change how to react to it.”

“เราไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่คนอื่นปฏิบัติกับเราหรือสิ่งที่คนอื่นพูดถึงเกี่ยวกับเราได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนวิธีในการตอบสนองต่อสิ่งนั้นได้ “

Mahatma Gandhi ผู้ซึ่งเป็นผู้นำและนักการเมืองที่มีชื่อเสียงชาวอินเดียและศาสนาฮินดู

คำพูดกินใจ 1

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา ความคิด คำพูด หรือการกระทำที่คนอื่นๆ ได้ทำกับเรานั้น เราไม่สามารถที่ไปบังคับ หรือต้องการให้เค้าเหล่านั้น ต้องทำหรือปฏิบัติ กับเราให้ได้อย่างใจเราได้ หรือเป็นไปในรูปแบบที่ดีและชอบได้

และเมื่อไหร่ก็ตามที่คำพูด หรือการกระทำเหล่านั้น มันเริ่มที่จะมีผล ในด้านลบกับชีวิตของเรา สิ่งเดียวที่เราสามารถทำได้นั่นก็คือ เราจะเลือกที่จะนำ สิ่งที่ได้พบได้เจอ ทั้งหลายเหล่านั้น เข้ามามีผลกับวงจรของชีวิต ของเราอย่างไร และเราเลือกที่จะแสดงออกต่อ สิ่งต่างๆนั้นเป็นไป ในรูปแบบใด

เมื่อเราสามารถที่ จะจัดการกับความรู้สึก และอารมณ์ของตัวเองได้ดี โดยที่ไม่ปล่อยให้สิ่งที่ ไม่เป็นสาระที่ไม่สำคัญ เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรา ความวุ่นวายหรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากคนอื่นๆ ก็จะไม่มีความหมาย หรือเข้ามามีผลต่อชีวิตของเรา อย่าให้ค่ากับสิ่งที่ไม่คู่ควร

“You cannot live without doing something”

“คุณไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ทำอะไรซักอย่าง”

Carlos Slim มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทโทรคมนาคม ที่ใหญ่ที่สุดในเม็กซิโก และเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกใน พ.ศ. 2550 แทนที่ Bill Gates

คำพูดกินใจ 2

สำหรับคนที่หมดพลัง หรือหมดกำลังใจ กับชีวิตที่ต้องเหนื่อยอยู่ ตลอดเวลา ไม่มีเวลาได้พัก ทำไมชีวิตของเรามันช่างยุ่งๆเสียเหลือเกิน หาเวลาพักผ่อนก็ยาก อยากอยู่เฉยไม่ต้องทำอะไร มีเงินใช้ไปวันๆก็พอ ไม่ต้องการที่จะออกไปสู้รบกับใคร อยากอยู่เงียบๆ

เชื่อสิพอถึงเวลานั้นจริงๆ ช่วงแรกคุณอาจจะ รู้สึกสบายใจ ที่ไม่ต้องทำอะไร แต่หลังจากนั้นแล้ว คุณจะเริ่มรู้สึกได้เองว่า ชีวิตเหมือนมันไม่มีการพัฒนา ไม่มีการเคลื่อนที่ในแบบที่ มีเป้าหมายและความต้องการ เพราะแรงผลักดัน หรือความต้องการ ที่แสดงออกให้เห็น เป็นการกระทำ จะทำให้ชีวิตเกิดการเรียนรู้และพัฒนา

ไม่ว่าสิ่งที่ทำนั้น จะสร้างประโยชน์มากน้อย ต่างกันแค่ไหนก็ตาม เพราะการลงมือกระทำ ย่อมส่งผลที่ดีต่อความคิดและการพัฒนาทางด้านอารมณ์ และความรู้สึก ที่ไม่ปล่อยให้เหี่ยวเฉา ไปตามกาลเวลา อย่าปล่อยและใช้ชีวิตแบบหายใจทิ้งๆไปวันๆ ลุกขึ้นมาทำอะไรก็ได้ เพื่อประโยชน์ต่อพลังงานชีวิตของเราเอง

“don’t compare yourself with anyone in this world. if you do so, you are insulting yourself.” 

“อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะถ้าคุณทำแบบนั้นเท่ากับว่าเป็นการดูถูกตัวคุณเอง”

Bill Gates เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน และเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก ที่เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน และเป็นผู้ที่มีแนวคิดในการสร้างความมั่งคั่ง ในการสร้างชีวิตให้ประสบความสำเร็จ ที่ได้รับความนิยมจนถึงทุกวันนี้

คำพูดกินใจ 3

หลักของความคิด ที่อยากจะให้ทุกคนจดจำ และนำมันเข้าไปฝัง อยู่ในหัวสมองของเรา ถ้าทำได้จะเป็นเรื่องที่สุดวิเศษมากๆ เพราะมันเป็นแนวทาง ในการใช้ชีวิตเพื่อให้อยู่รอด และประสบความสำเร็จ ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข หรือข้อปฏิเสธว่า แนวความคิดนี้แหล่ะ ถูกต้องที่สุดและส่งผลดีที่สุด

เพราะมันเกิดขึ้นจากประสบการณ์ของผู้เขียนเองด้วย จึงอยากนำแนวคิดนี้มาส่งต่อเพื่อให้เป็น ตัวนำทางของผู้อ่านท่านอื่นๆ ถ้าเราต้องการให้ชีวิตของเรา ได้ไปต่อในแบบของเราอย่างอยู่รอดและมีความสุข ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่ เราถึงจะอยู่ในจุดที่เรารู้สึกว่าเราพอใจกับชีวิตของตัวเราแล้วก็ตาม

แต่สิ่งนึงที่เราต้องรู้ และต้องทำให้ได้ก็คือ หยุดเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ กับคนอื่น เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราทำแบบนั้นกับตัวเราเอง ความคิดและมุมมอง ในการใช้ชีวิตของเรา จะไม่ไปไหนไกลเลย เราจะยิ่งมองเห็นคุณค่า ของชีวิตตัวเราเองนั้นน้อยลงทุกที เพราะไปให้ความสำคัญ กับชีวิตของคนอื่น จนลืมมองเห็นคุณค่าของตัวเอง

คนเราทุกคนล้วนมีคุณค่า และมีเอกลักษณ์ที่เป็นของตัวเอง ที่เป็นทั้งพรสวรรค์ และพรแสวง ที่เราสามารถสร้างได้ถ้าเรามีความต้องการ และมีความตั้งใจที่แน่วแน่ รักตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง และหยุดนำตัวเอง ไปเปรียบเทียบกับคนอื่น นี่คือจุดเริ่มต้น ของการสร้างความสำเร็จ ให้เกิดขึ้นกับชีวิต ของตัวคุณเอง

“It always seem impossible until it’s done.”

“มันมักจะเป็นเรื่องที่ดูจะเป็นไปไม่ได้จนกระทั่งมันประสบความสำเร็จ”

Nelson Mandela อดีตประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของประเทศแอฟริกาใต้นักสู้ผู้ต่อต้านการเหยียดผิวและนักรณรงค์เพื่อสันติภาพจนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

คำพูดกินใจ 6

บางครั้งการเริ่มต้น ในสิ่งที่ใหม่สำหรับการทำ ในสิ่งที่ไม่ถนัดหรือ ไม่มีความชำนาญมันจะดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ด้วยเงื่อนไขและความกลัว ความไม่แน่ใจ ความกังวล แต่เมื่อคุณได้ตัดสินใจ ที่จะทำและทำอย่างตั้งใจ ค่อยๆเรียนรู้ แก้ไขและพัฒนาไปพร้อมกัน ใช้เวลาและใช้ความคิดอย่างมีสติ

สุดท้ายเมื่อทุกอย่างนั้นสำเร็จ เรื่องที่มองว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ก็สำเร็จ อยู่ตรงหน้าคุณเรียบร้อยแล้ว อุปสรรคและตัวแปร ที่จะทำให้เกิดความลังเลในระหว่างทาง มันมีแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าเรามีความเชื่อมั่น และไม่ยอมแพ้ ไม่มีอะไรที่เป็นไม่ได้ สำหรับคนที่สู้และไม่ยอมอ่อนข้อ ให้กับสิ่งที่เป็นอุปสรรค ในชีวิตได้อย่างแน่นอน

“Tomorrow is my exam but I don’t care because a single sheet of paper can’t decide my future.”

“พรุ่งนี้เป็นวันสอบของฉันแต่ฉันไม่สนใจเพราะกระดาษแผ่นเดียวไม่สามารถตัดสินต่ออนาคตฉันได้”

Thomas Alva Edison  เป็นนักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวอเมริกัน เป็นนักประดิษฐ์คนสำคัญของโลก ผลงานของเขาได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนหรือเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ประดิษฐ์หลอดไฟ

คำพูดกินใจ 4

จุดประสงค์หลักที่นำคำพูดประโยคนี้ มาเพื่อเป็นประโยคที่สร้างพลังงานชีวิตดีๆให้กับคนหลายๆคน โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยกำลังศึกษา หรือกำลังโดนบททดสอบ จากเรื่องของการเรียน หรือการทำงานบางอย่าง มันอาจจะดูเหมือน เป็นมุมมองในด้านที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้านำแนวคิดนี้มาใช้ให้ถูกก็จะทำให้เกิดประโยชน์

ในด้านที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดประโยคนี้คือ ความสำคัญของการสอบ ถึงแม้มันอาจจะเป็นแค่กระดาษที่เป็นวัดผลของการเรียน หรือการทำงาน เพื่อประเมินผลว่า เค้าเหล่านั้นผ่านบททดสอบหรือไม่ แน่นอนกระดาษย่อมมีความสำคัญแน่นอนอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้

แต่อยากให้นำอีกด้านนึงของความหมายใน คำพูดกินใจ ในประโยคนี้ คือ การให้ความสำคัญมันต้องมีขอบเขต มีการช่างน้ำำหนักที่เหมาะสม เพื่อป้องกันผลกระทบที่มีทั้งสองด้าน ถ้าผลการทดสอบออกมาเป็นอย่างที่ตั้ใจเพราะเรามีคามพยายามและความตั้งและทำอย่างเต็มที่ ก็เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ

แต่ในทางกลับกันถ้าผลที่ออกมาไม่ได้เป็นไปตามที่ตั้งใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ อย่าพยายามนำมาเป็นสิ่งที่ตัดสินชีวิตของเราหรือคนอื่นว่า ไม่มีความสามารถหรือศักยภาพเพียงพอ หรือนำมาเป็นปมด้อยให้กับชีวิตของตัวเอง

เพราะมันก็มีบุคคลให้เห็นเป็นตัวอย่างหลายๆคนที่ไม่สบความสำเร็จด้านการศึกษาหรรือผลการสอบ แต่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างน่าประทับใจ

“No matter what happens, always be yourself.”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจงเป็นตัวของตัวเองเสมอ”

Dale Carnegie เป็นนักเขียนและอาจารย์ชาวอเมริกัน ผู้พัฒนาหลักสูตรการพัฒนาตนเอง, ทักษะการขาย, การฝึกฝนทักษะองค์กร, การพูดในที่สาธารณะ และทักษะระหว่างบุคคล

คำพูดกินใจ 5

บางครั้งคนเราก็พยายามที่จะทำ และพยายามที่จะเป็น ให้ดูดีและน่าสนใจ ยอมที่จะปรับเปลี่ยนเปลี่ยนตัวเอง จนลืมไปว่าจริงๆแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร จนกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว มันไม่ใช่สิ่งที่ผิดที่เรามีความต้องการและมีความพยายามเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

แต่อย่าหลงลืมไปว่าสุดท้ายแล้วเรานั้นเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ ผิดหวัง เสียใจ ชีวิตจะล้มเหลวมากมายเพียงใดจงอย่าลืมความเป็นตัวตนของตัวเอง การเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างสิ่งที่ดี ให้กับชีวิตนั้นสุดยอดแห่งความคิด แต่ก็อย่าเปลี่ยนไปจนไม่เหลือ ความเป็นตัวของตัวเอง นั่นเป็นพอ

“Your time is limited, so don’t waste it living someone else’s life.”

“เวลาในชีวิตของเรามีอย่างจำกัด ดังนั้นอย่าเสียเวลาไปใช้ชีวิตในแบบของคนอื่น”

Steve Jobs เป็นผู้นำธุรกิจและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน อดีตประธานบริหารของแอปเปิลคอมพิวเตอร์

ชีวิตของเรานั้นมันไม่แน่นอน บางคนก็มีชีวิตที่ยืนยาว บางคนก็มีช่วงเวลา ของการใช้ชีวิตสั้นมาก จนบางครั้งยังทำในสิ่งที่ต้องการยังไม่ครบ และอีกอย่างคนเราทุกคน เกิดมาล้วนแตกต่างกัน ไม่มีใครสามารถที่จะเป็นเหมือนใครได้ ทุกคนล้วนมีเอกลักษณ์และรูปแบบ ที่เฉพาะที่เป็นในแบบของตัวเอง

ชีวิตไม่แน่นอน ดังนั้นควรที่จะหาตัวเอง ให้เจอแล้วใช้ชีวิต ในแบบที่ตัวเองนั้น ต้องการอย่างแท้จริง การลอกเลียนแบบเพื่อจะเป็น ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ได้สร้างคุณค่า ให้กับตัวของคุณเองอย่างแท้จริง อย่าเสียเวลาเพื่อวิ่งตามที่จะให้เหมือนคนอื่น เป็นตัวเราเองนี่แหล่ะ ความสุขที่ได้มันแตกต่างกันเยอะ

บทส่งท้าย

กำลังใจและแรงบันดาลใจ มีอยู่รายรอบล้อมตัวเรา เพียงแต่ว่าเราจะมองเห็นคุณค่า และนำมาให้ก่อเกิดประโยชน์แก่ตัวของเราเองมากน้อยแค่ไหน เวลาที่เจอปัญหาหรือท้อแท้ จงอย่าถอดใจ ปัญหาทุกอย่างเข้ามาเพื่อให้เราได้แก้และพัฒนาตัวของเราเองให้ดีขึ้น

หวังว่าในบทความนี้ จะก่อเกิดประโยชน์ ให้กับคนหลายๆคนที่ต้องการกำลังใจ ในเวลาที่ไม่รู้ว่าต้องไปหามาจากไหน ชีวิตคือการเดินทางค่ะ ขรุขระ ล้มลุกคลุกคลานบ้าง บาดเจ็บบ้างเป็นเรื่องปกติ ในเมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่ ก็ขอให้ลุกขึ้นสู้ใหม่เพื่ออนาคตของตัวเราเองและคนที่เรารักกันนะคะ

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

KPIs in Affiliate Marketing เพื่อความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์

สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจออนไลน์ เมื่อลงรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องของจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเวปไซต์ และปริมาณที่ยังค่อนข้างน้อย ซึ่งจะมีอยู่อย่างนึงที่สำคัญ ที่ทำให้คุณไม่เคยพลาดในข้อมูลต่างๆที่มี เช่น  Host (พื้นที่ในซอฟแวร์เวบไซต์ของคุณเอง) โปรแกรมวิเคราะห์เว็บไซต์ และโปรแกรมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ที่เป็นเครื่องมือในการให้ข้อมูลต่างๆ ที่เรีอยกกันว่า KPIs In Affiliate Marketing

ซึ่งจากสถิติของเว็บไซต์ ที่มีทั้งหมดนั้น KPIs เป็นเครื่องมือที่ใช้ ในการจับวัดประเมินผล ที่มีประโยชน์สำหรับนักการตลาดออนไลน์ ประโยชน์ที่สำคัญของเครื่องมือเหล่านี้คืออะไร?

ประโยชน์ที่สำคัญของเครื่องมือในการจับวัด และประเมินผลเหล่านี้ ของการทำเว็บไซต์ที่มีและน่าสนใจ ที่มีประโยชน์ต่อนักการตลาดธุรกิจออนไลน์ คือ เพื่อทำให้คุณนั้นเข้าใจ การทำงานของธุรกิจออนไลน์ และเข้าใจในกับกลยุทธ์ที่สำคัญ ในเรื่องการเพิ่มรายได้ จากการทำธุรกิจ Digital ให้ประสบผลสำเร็จได้อย่างง่ายขึ้น

ด้วยการกำหนด KPIs ให้ชัดเจนและบ่งชี้ประสิทธิภาพหลักๆที่สำคัญ ของธุรกิจ สร้างจุดการมองเห็น เพื่อช่วยในการตัดสินใจ อย่างฉลาดและมีชั้นเชิง เกี่ยวกับทิศทาง ของเนื้อหาของงาน ที่ทำในปัจจุบันทั้งหมด

นักการตลาดออนไลน์ที่ดี หมายถึง พวกเค้าเหล่านั้น ต้องเข้าใจในการวิเคราะ์ และการตัดสินใจ เกี่ยวกับเว็บไซต์ ,ช่องทาง Social Media, ช่องทางเครือข่ายออนไลน์, และโปรแกรมที่ใช้ ผลิตภัณฑ์ที่เลือก ความสำคัญของ keywords ซึ่งกลยุทธ์เนื้อหา ทุกๆอย่างเหล่านี้จะเป็นตัวขับเคลื่อน และช่วยพัฒนางานของคุณ ให้ดีที่สุด

KPIs Affiliate Marketing 2

เริ่มต้นในการทำตลาดออนไลน์ให้ที่ดีที่สุด ด้วย KPIs In Affiliate Marketing

1.รายได้

โอเคอย่าเพิ่งหัวเราะ ในเรื่องของรายได้ ที่แสดงออกจากผล KPIs Affiliate Marketing จะมีความชัดเจนมากว่า ในแต่ละวัน ผู้ประกอบการทุกคน จะทราบได้ว่ามีเงิน เข้ามามากน้อยแค่ไหน?

และอีกอย่างซึ่งเป็น เรื่องที่แน่นอนว่า นักการตลาดออนไลน์ ที่มีประสบการณ์ และคล่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มายาวนาน มักจะมีความสามารถ ในการเพิ่มประสิทธิภาพ สำหรับรายได้ได้ดี ดังสำนวนที่ว่า Where the rubber hits the road. (เวลาจะเป็นบทพิสูจน์ เมื่อมันมาถึง และคุณจะได้รับรางวัล จากการทำงานหนักของคุณ)

อย่างไรก็ตามในบรรดา นักการตลาดออนไลน์ ที่มีต้องการและมีความหลงใหล ในชั้นเชิงทุกประเภท เช่น การคลิกการเข้าชม อัตราการได้รับอีเมล อัตราการเติบโตของผู้ติดตามใน Twitter และความเร็วในการโหลดเวบไซต์นั้น เป็นเรื่องปกติ

แม้ว่าเครื่องมือ ในการจับวัด ทั้งหมดเหล่านี้จะมีความชัดเจน เรื่องข้อมูล ในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ และการตลาดได้ดีแล้วก็ตาม แต่ขอแนะนำว่า อย่ามุ่งเน้นจนมากเกินไป เกี่ยวกับเทคนิคต่างๆ สิ่งที่ควรคิด และนำมาตัดสินความสำเร็จในการทำตลาดออนไลน์ของคุณ ก็คือ รายได้

สิ่งที่ทำให้นักการตลาดออนไลน์ ที่ได้รับประสบความสำเร็จ ที่แตกต่างกันคือ จำนวนยอดขาย และมูลค่าในการสั่งซื้อที่วัดผลกันในเรื่องของค่าเฉลี่ย ของใครที่อยู่ในระดับสูง สิ่งนี้แหล่ะที่เรียกว่า เค้าเหล่านั้นมีรายได้ที่สูง

3.จำนวนผู้เข้าชม

การสร้างรายได้บนอินเทอร์เน็ต ไม่สามารถทำได้หากไม่มีการเข้าชมเวบไซต์ คุณสามารถสร้างการเข้าชมเวปไซต์จากช่องทาง Social Media  โดยการซื้อการเข้าชมผ่านหลายช่องทาง แต่แหล่งที่มาที่สำคัญที่หนึ่ง และได้รับความนิยมสูงสุดนั่น คือ การเข้าชมจากเครื่องมือค้นหาที่มีอยู่ทั่วไป (Organic Search Engine Traffic)

ปริมาณที่มีผู้เข้าชมในเวปไซต์ เป็นสิ่งสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เนื่องด้วยเป็นบริการที่ฟรี และวิธีการค้นจากผู้เยี่ยมชมที่มาจากเครื่องมือค้นหา (Search Engine) โดยผ่านการใช้คำหลัก (Keyword) ที่เป็นคำเฉพาะ ซึ่งเป็นการแสดงผล ที่ได้ผลที่ดีในการทำเว็บไซต์ของคุณ

รายละเอียดตามคำ จำกัดความ ที่ผู้เข้าชมเวปไซต์กำลังมองหา จึงเป็นการเริ่มต้นที่ดี ในการนำคำเหล่านั้นมาสร้างเป็นเนื้อหา และขยายความคำหลักเหล่านั้น ให้มีอยู่ในเวปไซต์ของคุณ

เครื่องมือที่ใช้งานได้ฟรีคือ Google Search Console เครื่องมือตัวนี้จะมีความสามารถ ในตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณนั้น ไม่ได้มีเกิดข้อผิดพลาดในการรวบรวมข้อมูล และปริมาณของคำหลัก ที่ใช้ค้นหาของ ที่ผู้เยี่ยมชมเพื่อเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณนั้น เป็นอย่างไร

จากนั้นคุณสามารถ สร้างเนื้อหาเพิ่มเติม สำหรับคำหลักที่เกี่ยวข้อง หรือใกล้เคียง เพื่อการขยายขอบเขต ของเนื้อหาที่เป็นเฉพาะเรื่อง ในเวบไซต์ของคุณเอง และยังสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์ ที่เกี่ยวข้อง ที่คุณสามารถนำมาโปรโมต ให้ตรงสำหรับเนื้อหาที่คุณชื่นชอบ

KPIs Affiliate Marketing 3

4.Clicks

ปริมาณการคลิกเป็นผล KPIs ในการประเมินธุรกิจทางการตลาดออนไลน์ที่สำคัญ เป็นเรื่องที่แน่นอน ที่อาจจะมีบางคนคิดต่างว่า ปริมาณในการคลิกเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ ที่สำคัญที่สุด สำหรับความพยายาม ทางการตลาดออนไลน์

จำนวนการคลิกลิงก์ ในธุรกิจออนไลน์ของคุณบ่งบอก ถึงจำนวนผู้ที่คุณได้เข้าถึงผู้ที่สนใจ ในผลิตภัณฑ์ออนไลน์ของคุณ โดยผ่านช่องทางการส่งเสริมการขายต่างๆ โดยก่อนอื่นคุณจะต้องสร้างจำนวนคลิกที่มี ความเกี่ยวข้องกับเวบไซต์ของคุณ ว่าเพียงพอต่อการสร้างรายได้หรือไม่?

จากนั้นนำจำนวนคลิก ที่แสดงทั้งหมด ในระบบ Digital ของคุณ เข้าสู่ระบบที่ช่วยจับวัด และวิเคราะห์ข้อมูล เพิ่มเติมเช่น จำนวนคลิกทั้งหมดบนลิงก์ ปริมาณจำนวนการขาย, พฤติกรรมของการค้นหา ที่เป็นจำนวนคลิก ที่มีส่งผลในเรื่องการขาย การมีส่วนร่วมต่อลิงก์ที่มีความเกี่ยวข้องกัน และคุณก็จะมีจุดชุดข้อมูลจำนวนมาก ที่มีใช้เพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณ

หากต้องการรับข้อมูลประเภทนี้ คุณจะต้องตั้งค่า Google Analytics หรือใช้ปลั๊กอิน เพื่อจัดการและติดตามลิงก์พันธมิตรของคุณเช่น Thirsty Affiliates สำหรับไซต์ WordPress

KPIs Affiliate Marketing 4

5.EPC (รายได้ต่อคลิก)

EPC เป็นผลมาจากรายได้ของ Affiliate โดยเฉลี่ยต่อการคลิกของผู้เข้าชม 100 ครั้งจาก Affiliate ทั้งหมดในโปรแกรมของผู้ที่ขายผลิตภัณฑ์  ดังนั้น EPC จึงช่วยให้ บริษัทฯที่เกี่ยวข้องกันได้ทราบว่า ช่องทางการติดต่อทางใดที่ดึงความน่าสนใจ ในผลิตภัณฑ์ และเว็บไซต์ของผู้ขายทำงาน ได้ดีเพียงใด

ณ ปัจจุบัน และด้วยเหตุนี้จึงเป็นบ่งบอก ถึงศักยภาพในการสร้างรายได้ ที่ชัดเจน

เครือข่ายในการทำตลาดออนไลน์ ที่เป็นมาตรฐานและเป็นโปรแกรม ที่ส่งเสริมด้านการขาย เช่น ShareASale ช่วยให้คุณสามารถจัดอันดับ ผู้ขายตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ และ Products ที่เกี่ยวข้องกัน และ EPC ยังทำให้คุณสามารถ ที่จะเลือกผู้ขาย ที่มียอดขายที่ประสบความสำเร็จ เข้าสู่เว็บไซต์ของคุณได้อย่างง่ายขึ้น

เมื่อคุณได้โปรโมทตัวสินค้าได้สำเร็จ และสร้างยอดขายได้แล้ว คุณยังสามารถใช้ EPC เพื่อวัดประสิทธิภาพทางการตลาดของคุณเอง สามารถที่จะโยงเกี่ยว ให้ข้องกับ บริษัทฯอื่นๆ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ อื่น ๆได้ดีอีกด้วย

สมมติว่าคุณกำลังโปรโมตผลิตภัณฑ์ของผู้ขายและ EPC ของผู้ขายรายนั้นคือ 4,000 บาท ตอนนี้สมมติว่าคุณสร้างยอดขายได้ 10 ครั้งโดยมีมูลค่าเฉลี่ย 8,000 บาท กับผู้เยี่ยมชม 100 คนล่าสุด ที่เป็นการส่งผ่านจากทางเวปไซต์ของคุณถึงผู้ขายจากทางลิงก์ของคุณ

ดังนั้น EPC ส่วนตัวของคุณสำหรับผู้ขายรายนั้นจะเป็น (10 * 8,000): 100 = 80 บาท ซึ่งต่ำกว่า EPC ทั่วไปอย่างมาก ดังนั้นคุณจึงได้รับรู้ว่า คุณจะต้องปรับปรุงโฆษณา หรือหน้า Landing Page ของคุณ เพื่อดึงดูดการเข้าชมที่มีคุณภาพมากขึ้น ไปยังผลิตภัณฑ์ของผู้ขาย เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ของคุณ

6.AOV (มูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย)

หรือที่เรียกว่า ค่าเฉลี่ยในการสั่งซื้อ ด้วยการประเมินผลจับวัด ที่มีมูลค่ามากกว่าจำนวนคลิก และ ช่องทางในการติดต่อ หรือ สั่งซื้อหรือ ถ้าลูกค้ามีความสนใจ ว่าเป็นในลักษณะเช่นไร ที่คุณนั้นได้สร้าง ให้กับผู้ขายของคุณ

แม้ว่าโปรแกรมที่ช่วย ในด้านการทำตลาดออนไลน์นั้น มีมากมาย แต่บางโปรแกรม อาจไม่สามารถสร้างยอดขาย ได้มากนัก แต่ก็ยังมีค่าสำหรับคุณหาก AOV อยู่ในระดับสูง

ในความเป็นจริง นักการตลาดออนไลน์ที่ช่ำชอง และมีความชำนาญ จะแสวงหารายได้ จากการสินค้าที่มีราคาแพงซึ่งมียอดขายเพียงไม่กี่รายการเท่านั้น ก็สามารถสร้างรายได้ได้จำนวนมาก

เพียงแต่ว่า โดยปกติผู้ชมที่จะเข้าชม และเลือกซื้อสินค้าในราคาแพง มักจะมีจำนวนน้อย และมีเงื่อนไข แบบเฉพาะเจาะจงมาก รวมถึงมีเงื่อนไขต่างๆมากขึ้น

แต่ในทางกลับกัน ถ้านักการตลาดออนไลน์เลือกที่จะทำใน สิ่งนี้จำเป็นจะต้อง ใช้ช่วงการเรียนรู้ที่สูงขึ้น และมีความเชียวชาญ ในผลิตภัณฑ์นั้นๆเป็นอย่างดี สำหรับการทำการตลาดออนไลน์ เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้า ที่มีอำนาจในการซื้อที่สูง

KPIs Affiliate Marketing 5

บทสรุปเกี่ยวกับวิธีการใช้ KPIs การตลาดออนไลน์

เช่นเดียวกับเรื่องของการใช้ชีวิต ความสำเร็จมีลักษณะ แตกต่างกันไป สำหรับนักการตลาดออนไลน์ทุกคน คุณอาจต้องการมุ่งเน้นไป ที่เกณฑ์ของความสำเร็จที่ แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทักษะ การตลาดออนไลน์ ที่คุณมีในปัจจุบันของคุณ

และเป็นสิ่งสำคัญ ในการเข้าถึงการตลาดออนไลน์ ที่เหมาะกับความต้องการของคุณเอง บางทีคุณอาจมุ่งเน้น ไปที่การเขียนบล็อก และคุณก็เชื่อมโยง โดยทำการตลาดออนไลน์ เพื่อหารายได้ และคุณยังที่จะใช้ส่วนที่เหลือช่วยสำรวจว่า ช่องทางใดที่เหมาะกับคุณ

อย่างไรก็ตาม KPIs การตลาดออนไลน์ บางอย่าง ช่วยกำหนดความสำเร็จของคุณ และเน้นการเปลี่ยนแปลง และต้องพัฒนา เพื่อเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของคุณ

และในขณะที่คุณ และโลกของการตลาดออนไลน์ เปลี่ยนแปลงไป KPIs ที่คุณมุ่งเน้นก็เช่นกัน และแม้ว่า จะมีวิธีการจับหรือการวัด ความสำเร็จมากมาย แต่ตัวช่วยเหล่านั้น ที่อธิบายไว้ที่นี่จะช่วยให้คุณ สามารถประเมินสิ่งที่ จำเป็นได้เสมอ

บทความที่เกี่ยวข้อง

สำนวนสุภาษิตชีวิตคู่

สำนวนสุภาษิตชีวิตคู่ สำนวนไทยในหลายๆสำนวน ถ้านำมาศึกษาในความหมายแล้ว เราจะพบว่า เราสามารถนำมาปรับใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี เพราะในสำนวนสุภาษิตนั้นๆ ก็มีเป้าหมาย เพื่อมุ่งสอน ให้คนเราเกิดความเข้าใจ และไม่ฟุ้งซ่านมากเกินไป กับสถานการณ์ โลกที่เปลี่ยนแปลง

ในการชีวิตครอบครัว หรือการใช้ชีวิตคู่ ก็เช่นเดียวกัน สำนวนสุภาษิตชีวิตคู่ ที่มีการกล่าวถึง และสามารถนำมา ใช้ให้เกิดประโยชน์ ก็มีเช่นกัน ในบทความนี้ จึงขอนำมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งอาจจะมีประโยชน์ ต่อชีวิตคู่ของหลายๆคู่ ที่อาจจะหลงลืม ได้นำมาลองใช้กัน

สำนวนสุภาษิตที่มีประโยชน์ต่อชีวิตคู่

คงเส้นคงวา หมายถึง เสมอต้นเสมอปลาย มีประพฤติเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ความประทับใจ ในการพบเจอกันในครั้งแรก การกระทำ การแสดงออกให้เห็น ซึ่งความรักที่มี การเอาใจใส่ การดูแลที่มีให้ จนทำให้เกิด ความประทับใจและนำไปสู่จุดเริ่มต้น ของความสัมพันธ์

เพื่อจะทำให้ความสัมพันธ์ นั้นยั่งยืนและยาวนาน ความเสมอต้นเสมอปลาย เป็นเรื่องที่สำคัญ ระยะเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ได้อย่างดีว่า ความเป็นตัวตนของคุณนั้น มันมีค่ามากแค่ไหน

ชีวิตคู่ ความคงเส้นคงวา ความเสมอต้นเสมอปลาย ในการกระทำเป็นสิ่งที่ พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า คนทั้งคู่นั้นมีความจริงใจให้กัน มากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องที่แน่นอน ที่คนเราถ้าต้องการให้อีกฝ่ายนั้น เกิดความประทับใจ ก็พยายามที่จะสร้างแต่สิ่งที่ดูดี น่าสนใจและน่าประทับใจ เพื่อให้อีกฝ่ายนั้นสนใจ

ทะเลาะกัน

ลดลาวาศอก การใช้ชีวิตคู่ ไม่มีคำว่าใครเป็นผู้ชนะ หรือใครเป็นผู้แพ้ เวลามีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะปัญหานั้น มันจะมาจากใครก็แล้วแต่ การลดลาวาศอก ลดความแรงลดการปะทะ เป็นเรื่องที่คนทั้งคู่ต้อง ให้ความสำคัญ และควรต้องระวัง

ความรุนแรงไม่ได้ เป็นทางแก้ปัญหา ที่ดีเสมอไปโดยเฉพาะ ในการใช้ชีวิตคู่ ดังนั้นถ้าเหตุการณ์ เริ่มที่จะเข้าสู่ภาวะที่รุนแรง การลดลาวาศอก เพื่อให้ความสัมพันธ์ ของคนทั้งคู่นั้น ยังสามารถไปด้วยกันต่อได้ ถ้าคนทั้งคู่ ยังมีความรักต่อกันแล้วล่ะ ก็วิธีการนี้เป็นทางเลือกที่ดี

เอาใจเขามาใส่ใจเรา หมายถึง รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น คิดจะทำอะไร ก็ต้องคำนึงถึงความรู้สึก ของคนอื่นด้วย เป็นเรื่องจริง ที่ทุกคนต้องมี ความเข้าใจว่า ว่าไม่มีอะไรในโลก ที่เราจะตัดสินใจ และทำได้เลยโดยที่ ไม่สนใจหรือให้ความสำคัญ ถ้าเรื่องราวเหล่านั้น มันมีคนอื่นที่นอกจากเรา ที่ต้องเกี่ยวข้อง หรือมีผลกระทบ

โดยเฉพาะ การอยู่ด้วยกัน มันไม่เหมือน การอยู่คนเดียว เวลาเราจะไปไหน ทำอะไร สามารถที่จะตัดสินใจ หรือทำได้เลย ในทันทีทันใด แต่การใช้ชีวิตด้วยกัน เมื่อมีอีกคนอยู่ด้วย เราจำเป็นที่จะต้อง ยับยั้งความคิด ที่มีเฉพาะด้านของตัวเอง

และสนใจในความรู้สึก ความต้องการของคนที่ เราอยู่ด้วย เพื่อสร้างการ อยู่ร่วมด้วยกัน ไม่ให้มีช่องว่าง ที่อาจจะสร้างความไม่เข้าใจ และนำไปสู่ปัญหา แห่งการเลิกร้าง

เอาใจใส่

เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หมายถึง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นบ้าง ในเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อให้เรื่อง หรือเหตุการณ์นั้นๆ ผ่านลุล่วงไป การอยู่และใช้ชีวิตด้วยกัน เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็น ที่ต้องรู้หรือต้องเข้าใจ ในทุกๆเรื่อง ในขณะที่อีกฝ่ายยังไม่มีความพร้อม หรือต้องการเวลาเพื่อจัดการ

ซึ่งถ้าอีกฝ่าย มีแต่ความต้องการ ที่จะต้องรู้เห็น ทุกเรื่องเกี่ยวกับ คนที่เราอยู่ด้วย มันจะทำให้ อีกฝ่ายนั้นรู้สึกอึดอัด ไม่มีความเป็นส่วนตัว เพราะทุกคนล้วน แต่มีพื้นที่ส่วนตัว เป็นของตัวเอง

ข้อมูลเพิ่มเติม พื้นที่ส่วนตัว ทำไมสำคัญต่อชีวิตคู่

พูดไปสองไพเบี๊ยนิ่งเสียตำลึงทอง หมายถึง พูดไปไม่มีประโยชน์ อาจจะทำให้เกิดโทษได้ ดังนั้นนิ่งเสียดีกว่า พลังอำนาจ ของคำพูดมี พลังมหาศาล สามารถสร้าง การเปลี่ยนแปลง ให้กับชีวิตให้ได้ดี ประสบกับความสำเร็จ หรือไม่ในทางกลับกัน ก็สามารถทำลายล้าง ทุกอย่าง หรือทำลายชีวิตของ คนๆนั้นได้

ดังนั้นถ้าเราต้องการ ให้ชีวิตคู่ความรัก ของเรานั้นอยู่กัน ได้ยืดยาว และลดปัญหาต่าง ที่เกิดขึ้นในการ อยู่ด้วยกันนั้น เบาบางลง บางสิ่งบางอย่าง ถ้าพูดไปแล้วไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ หรือไม่ได้สร้างบรรยากาศ ที่ดีในการอยู่ร่วมกัน ก็ไม่พูดซะดีกว่า อย่างน้อย มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดี ต่อสถานการณ์ก็ได้

สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ ความหมายว่า จะสุขหรือจะทุกข์ ก็ขึ้นกับความคิด และทัศนคติของตัวเราเอง ที่เป็นผู้กำหนดเลือก ความคิดเป็นตัวบงการ การใช้ชีวิตของเราว่า จะเป็นไปในทางใด ถ้าเราต้องการ ให้ชีวิตของเรา นั้นมีความสุขมากๆ เราก็ต้องคิดดี และคิดบวกเยอะๆ กับสิ่งเราต้องเจอ ในชีวิตของเราเอง

เพื่อสร้างและ ดึงดูดพลังงานดีๆ เข้ามาให้กับตัวของเราเอง ที่สำคัญในชีวิตคู่ ของการอยู่ร่วมกัน มันเป็นเรื่อง ที่สำคัญที่เราทั้งคู่นั้น สร้างพลังงานที่ดีๆ ที่เป็นด้านบวก ให้กับครอบครัว เพราะมันจะเป็น การสร้างพลังชีวิต ที่จะช่วยขับเคลื่อน ให้การเดินทาง ของครอบครัวของเรานั้น พบกับความสงบ และมีความสุข

ครอบครัวน่ารัก

บทส่งท้าย

คนทุกคนต่างต้องการ ที่จะทำให้ชีวิตของตัวเองนั้น ประสบกับความสำเร็จ และมีความสุข โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้น ที่จะมีครอบครัวและ มีชีวิตคู่เป็นของตัวเอง บางคนอาจจะมีรูปแบบ และวางแผนไว้ไว้ว่า จะทำให้ครอบครัวของเรา นั้นเป็นอย่างไร แต่เมื่อเวลามาถึง บางคนอาจจะทำได้อย่าง ที่ตัวเองต้องการได้บ้าง

แต่บางคนอาจจะห่างไกล จากสิ่งที่ตัวเองนั้น ได้คาดหวังหรือตั้งใจไว้ การปรับตัวและถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เป็นสิ่งที่สำคัญ และยังคงจำเป็นเสมอ เริ่มต้นคิดบวกและสร้างทัศนคติที่ดี เพื่อเป็นแรงในการผลักดัน ให้ชีวิตของเรานั้น ดำเนินไปในทางที่ดี และมีความสุข เพื่อครอบครัวเล็กๆของทุกๆคน กันนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

วิธีประสบความสำเร็จ ในชีวิตโดยการทำสิ่งง่ายๆที่ถูกต้องทุกวัน

ทุกๆคนล้วนมีความต้องการ ที่จะค้นพบ และทำความเข้าใจ เกี่ยวกับสูตร หรือเคล็ดลับที่วิเศษ ของ วิธีประสบความสำเร็จในชีวิต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้น ปีศักราชใหม่ หลายๆคนตั้งปณิธาน ที่จะปรับปรุงชีวิต ของตัวเองโดยหวังว่า จะสร้างการเปลี่ยนแปลง และนำชีวิตไปสู่ความสำเร็จ

บางคนตั้งเป้าไว้ว่า จะต้องเลิกสูบบุหรี่ให้ได้ บางคนตั้งใจที่ จะออกกำลังกายอย่างจริงจัง และเป็นประจำ ตั้งใจที่จะเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งในเรื่องของ การประหยัดเงิน การอดออมให้ได้มากขึ้น แต่จากการศึกษาพบว่า 80% ล้มเหลวภายในไม่กี่สัปดาห์ หลังจากต้นปีผ่านไป

เหตุใดเขาเหล่านั้นจึง ไม่ยึดมั่นในปณิธาน ในความตั้งใจของตัวเอง ที่ได้วางแผนเอาไว้? และการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเขาเหล่านั้น ต่อไปได้อย่างไร?

นักแสดง นักกีฬา หรือผู้ประกอบการ ที่มีชื่อเสียง ทั้งหมดจะบอก เป็นเสียงเดียวกันกับ คุณว่าความสำเร็จ ไม่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืน แต่การประสบความสำเร็จ ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ เป็นผลพวงมาจากการฝึกฝน และความตั้งใจนับปี กับสิ่งที่เค้าได้เลือก และเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ให้กับชีวิตของพวกเขา

3 หัวข้อหลักพื้นฐานที่นำไปสู่ความสำเร็จ

เพื่อเป็นการสร้างพื้นฐาน ที่เป็นแแนวทาง และให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ นี่คือจุดที่สำคัญ 3 จุด ที่เป็นแกนหลัก ที่เป็นพื้นฐานที่จำเป็น

จุดที่ 1 เราต้องปรับเปลี่ยนมุมมอง และหลักการในการคิด เพื่อนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ

จุดที่ 2 เราต้องมีความมุ่งมั่น และตั้งใจศึกษาและเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาตัวเอง อยู่เสมอ

และจุดที่ 3 ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ถ้าเรามีความตั้งใจ และตั้งมั่นโดยที่ปราศจากข้อแม้ หรือข้ออ้างอื่นใด

เหตุผลทั้งหมด ที่คนเรานั้น ไม่ประสบความสำเร็จ กับปณิธานหรือความตั้งใจ ในการเริ่มต้นที่จะทำ ในปีศักราชใหม่ โดยส่วนมาก ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับทัศนคติ ในเรื่องของการเรียนรู้ ก็เกี่ยวกับนิสัยที่ยังแก้ไม่ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

หรือบางทีคุณเองอาจจะ ไม่พร้อมเมื่อปีใหม่มาถึง แต่โดยความเป็นจริงๆแล้ว ปีใหม่ท้ายที่สุดมัน เป็นแค่เพียงวัน ที่อาจจะเป็นช่วงเวลา ที่ตั้งต้นไว้เห็นได้ชัดเจน แต่ถ้าเรามีความต้องการ และความตั้งใจ ที่จะเปลี่ยนแปลง ชีวิตของเรา วันไหนๆก็เป็นวันที่เหมาะสม และสามารถที่จะเริ่มต้นได้เสมอ

ดังที่ สุภาษิตจีน ได้กล่าวไว้ว่า “ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือ 20 ปีที่แล้ว แต่ช่วงเวลาที่ดีเป็นอันดับที่สองก็คือ ตอนนี้”

ดังนั้น ตอนนี้เรามาเริ่มต้น การเดินทาง เพื่อความสำเร็จของชีวิต และเราจะมาดูกันทีละส่วน ของ จุดหลักที่สำคัญทั้ง 3 ด้าน ที่เป็นเรื่องพื้นฐาน เพื่อเริ่มต้นดำเนินการ เปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อให้ค้นพบกับความสำเร็จ

และข่าวดีก็คือ เราทุกคนสามารถ ที่จะใช้ความเป็นเลิศ ในตัวช่วยแห่งสร้างความสำเร็จนี้ เพื่อชีวิตของคุณได้

พัฒนาทัศนคติที่ควรทำลงในตารางการใช้ชีวิตประจำวัน

วิธีประสบความสำเร็จ

ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตของเรา ผ่านไปทีละช่วง และแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านไป เหล่านั้นเราปล่อยผ่านไปกับ กิจกรรมที่ดูเหมือนว่า ไม่สำคัญ เช่น การทำเตียงนอน การแปรงฟัน การขึ้นบันไดเลื่อน หรือการซื้อกาแฟจากร้านแบรนด์ดัง

และเรายังมองว่า กิจกรรมในชีวิตประจำวันเหล่านี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา และในพวกเราหลายๆคน ยังมองว่ากิจกรรมทั้งหมดเหล่านี้ เป็นเรื่องน่าเบื่อ

พอเขียนมาถึงตรงนี้ อยากให้ลองดูหนังสือ ที่เป็นเรื่องที่ขายดี ที่ตอนนี้ตีพิมพ์เป็นครั้งที่สองแล้ว ถือเป็นหนังสือขายดีชื่อว่า Make Your Bed (สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคุณ และบางทีเปลี่ยนโลกได้) ของ พลเรือเอกวิลเลียม เอช แมคราเวน ทหารเรือผู้เกษียรอายุจากกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ได้อธิบายไว้ว่า กิจวัตรประจำวันง่ายๆ ในการทำเตียงของคุณ สามารถส่งผลกระทบ อย่างมีนัยยะสำคัญ ต่อชีวิตของคุณได้อย่างไร

เริ่มต้นจากการทำสิ่งง่าย อันดับแรกของคุณตั้งแต่ คุณตื่นนอน เท่ากับว่าคุณได้ ทำงานเสร็จไปหนึ่งอย่าง เมื่อจบงานแรก คุณจะพบว่ามันง่ายมากหลังจากนี้ ที่จะต้องทำอะไรต่อไป ให้สำเร็จในแต่ละวัน และไม่นานคุณก็จะรู้สึกดี กับตัวเองเมื่อเห็นผล ในสิ่งที่คุณทำสำเร็จ ทั้งหมดทั้งมวล ต้องขอบคุณเตียงนอน ของคุณเองนั่นเอง

คิดอย่างไรกับการแปรงฟัน? การแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ และแปรงอย่างทั่วถึง ไม่เพียงแต่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังถือเป็น คุณค่าและประโยชน์ในระยะยาว ได้อีกด้วย มันทำให้การใช้เวลา ในการไปหาทันตแพทย์น้อยลง เนื่องจากสุขภาพฟันแข็งแรง และยังทำค่าใช้จ่าย ที่เกี่ยวกับฟันน้อยลง อีกด้วย

และยังทำให้คุณมีรอยยิ้ม ที่สะอาดสดใส ช่วยให้คุณมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตในสังคม อาชีพการงาน และความสัมพันธ์ ของคุณได้อีก

ในเรื่องของการเดินทาง ในชีวิตประจำวัน เมื่อคุณขึ้นจากชั้นใต้ดิน คุณเคยคิดจะขึ้นบันไดธรรมดา แทนการขึ้นบันไดเลื่อนหรือไม่? การเดินบันไดธรรมดา เหนื่อยเกินไป สำหรับคุณหรือเปล่า? แต่ถ้าเรามานึกถึง ในเรื่องของสุขภาพ และการออกกำลังกาย

หากคุณเลือกที่ จะเดินขึ้นบันไดธรรมดา ทุกครั้ง แทนการขึ้นบันไดเลื่อน จากนั้นคุณลองมา คำนวนดูว่า คุณใช้บันไดทั้งหมดกี่ขั้น ในหนึ่งสัปดาห์ ในหนึ่งเดือนหรือในหนึ่งปี? ผลที่ได้จะแสดง ให้คุณเห็นว่า การเพิ่มขึ้น ของการกระทำเล็กๆ เรียกว่าผลประกอบการ การทำซ้ำๆของ การกระทำเล็กๆ นั้นสามารถ ส่งผลกระทบอย่างได้มาก เมื่อเวลาผ่านไป

และจะเกิดอะไรขึ้น กับระบบการเงินของคุณ หากทุกครั้ง ที่คุณดื่มกาแฟ ที่เป็นร้านแบรนด์ ที่มีชื่อเสียงและแน่นอนราคากาแฟจะค่อนข้างสูง แต่ถ้าคุณเลือกซื้อจากร้านกาแฟ แถวที่ทำงาน แถวบ้านที่เป็นร้านธรรมดา แต่ให้บริการในแบบเดียวกัน และราคาก็ถูกกว่า ลองคำนวณดูว่า คุณจะประหยัดได้ เท่าไหร่ต่อสัปดาห์ ต่อเดือน หรือต่อปี

ให้ความสำคัญ กับสิ่งเล็กๆน้อยๆ ในชีวิตของเรา และทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างมีวินัย อย่างต่อเนื่องและใส่ใจ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ชีวิตของคุณ นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ และนี่แหล่ะคือวิธีการที่จะทำให้ชีวิตของคุณ นั้นประสบความสำเร็จ สร้างการกระทำ ที่เป็นไปในทางที่เป็นเรื่องที่บวก และทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างต่อเนื่อง ทฤษฎี The Slight Edge ของ Jeff Olson

การทำความเข้าใจ และให้ความสำคัญ กับสิ่งเล็กๆน้อย รอบตัวเรา คือการตระหนักว่าทุกๆสิ่งที่เราทำนั้น เป็นการสร้างประโยชน์ให้กับตัวเราเอง

ในทุกๆการกระทำ แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ มันคือการ นำพาเรา ที่อาจจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ หรือความล้มเหลว

ในหลายๆครั้งเราเลือกที่จะมองข้าม หรือมองไม่สนใจในสิ่งเล็กๆน้อยๆ เพราะคิดว่าไม่มีความสำคัญ แต่อย่าลืมว่า สิ่งเล็กๆนี่แหล่ะ เมื่อเวลามาอยู่รวมกัน และประกอบเข้าด้วยกัน จะนำพาให้ทุกๆอย่าง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ได้อย่างน่าประหลาดใจ

วิธีการที่คุณทำกับสิ่งๆหนึ่งมันก็คือวิธีการที่คุณจะทำกับทุกอย่าง

วิธีประสบความสำเร็จ ด้วยการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง

ดังคำกล่าวของ เซนโบราณ ที่ได้กล่าวไว้ว่า “วิธีที่บุคคลนั้นทำต่อสิ่งหนึ่ง จะเป็นวิธีที่ใช้ทำกับทุกๆสิ่ง” ทุกๆการกระทำและการเลือก ที่ดูเหมือนเป็นเรื่อง เล็กน้อยในชีวิต ล้วนมีความสำคัญ

เมื่อเราสามารถ ควบคุมและจัดการ สิ่งเล็กๆน้อยๆในชีวิตได้ นั่นย่อมเท่ากับว่า เราแสดงให้ตัวเองเห็นแล้วว่า เรามีความรับผิดชอบ ต่อชีวิตของเราเอง

การตำหนิโทษ ต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวไม่ได้ทำให้ชีวิตนั้น ดีขึ้นไปในทางใด แต่ถ้าเราเลือกที่จะใส่ใจ และให้ความสำคัญ กับสิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่อยู่ในชีวิตของเรา จะทำให้เรานั้นค้นพบได้ว่า สิ่งไหนในชีวิตที่เรานั้น ต้องให้ความสำคัญ และควรนำมาพัฒนา และต่อยอดเพื่อให้เกิดความสำเร็จสูงสุด

ส่วนใหญ่ผู้ที่ล้มเหลว ในการทำให้ บรรลุเป้าหมาย มีจำนวนมากถึง 95% ของคนทั่วไป สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อสิ่งที่เราต้องทำ คือการมีสามาธิจดจ่อ กับสิ่งง่ายๆในชีวิต ผู้ที่ประสบความสำเร็จ ในชีวิตต่างรู้ดีว่า ทุกๆสิ่งที่เค้าเหล่านั้น ทำให้ชีวิตของเค้านั้น ล้วนมีความหมาย และมีความสำคัญ

ในทางกลับกัน คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ในชีวิตกลับไม่คิด หรือคิดน้อยมาก ว่าสิ่งที่เค้าทำในปัจจุบันนั้น มันมีความสำคัญต่อชีวิตเค้าอย่างไร

ความคิดที่ยอมรับว่าความล้มเหลว เป็นโอกาสที่จะช่วยในการพัฒนาและเจริญเติบโต

วิธีประสบความสำเร็จ ด้วยความคิดที่เติบโต

มุมมองที่เรามี เกี่ยวกับชีวิต มันคือปรัชญา ที่เป็นตัวนำทางของชีวิตเรา มันจะเป็นตัวกำหนดความคิด การกระทำ อารมณ์ความรู้สึก ที่แสดงออก ซึ่งความเป็นคุณ

ส่วนที่สำคัญของปรัชญาชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับ ในด้านของความสำเร็จในชีวิต คือ การรับรู้ได้ว่า ตัวเราเองนั้นสามารถเลือกได้ ที่จะพัฒนาสติปัญญาความรู้ และความสามารถของเราได้เสมอ growth mindset การเติบโตทางความคิด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำความเข้าใจ ที่มีนี้ไปใช้กับวิธี ที่เราจะเอาไว้จัดการ กับความล้มเหลว เมื่อคุณเห็นความผิดพลาด ที่เป็นข้อพิสูจน์ว่า คุณอาจจะมีบุคลิกภาพ ที่ไม่เหมาะสม แต่ถ้าคุณมีความคิดที่จำกัด fixed mindset ข้อจำกัดและอคติแบบนี้ จะกลายเป็นเงื่อนไข ที่กักกั้นการเจริญเติบโต ทางความคิดของคุณ

ในปี 2550 Carol Dweck  นักจิตวิทยาจาก Stanford ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความ แตกต่างระหว่าง Growth Mindset และ Fixed Mindsets ในการศึกษาตลอดช่วง 2 ปี เธอสังเกตเห็นว่า มีนักเรียนมัธยมปลาย หลายร้อยคนที่สนใจ เข้าร่วมใน โปรแกรมการแข่งขันคณิตศาสตร์

ในช่วงเริ่มต้น ของการศึกษา Dweck ได้พิจารณาเห็นความแตกต่าง ระหว่างนักเรียนที่มีความคิดที่ตายตัว (Fixed Mindset)และมีความคิดที่เติบโต (Growth Mindset) ว่า หลังจากนั้น ไม่กี่เดือนก็เห็นได้ชัด ว่านักเรียนที่มีความคิดเติบโต (Growth Mindset) มีผลงานดีกว่า เพื่อนที่มีกรอบความคิดที่ตายตัว (Fixed Mindset) และความแตกต่าง ของประสิทธิภาพระหว่าง ทั้งสองกลุ่ม ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในเรื่องการวิเคราะห์ สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างนี้ Dweck พบว่าผู้ที่มีความคิดเติบโต (Growth Mindset) สามารถฟื้นตัว จากความล้มเหลวได้ อย่างชัดเจนมากขึ้น เธอสังเกตเห็นว่า เนื่องจากนักเรียน ที่มีความคิดเติบโต (Growth Mindset) ไม่ถือว่าระดับสติปัญญา ของพวกเขานั้นคงที่

พวกเขาจึงไม่มองว่า ความล้มเหลวเป็นเรื่องที่น่าอับอาย หรือปมด้อยต่อตัวเอง แต่พวกเขาตระหนักดีว่า เขาสามารถเรียนรู้จากความล้มเหลว และใช้ประสบการณ์ ดังกล่าวเพื่อปรับปรุงและแก้ไข ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมีแนวโน้ม ที่จะรับมือกับปัญหา ทางคณิตศาสตร์ ที่ท้าทายกับความสามารถได้ดี และพวกเขาก็จะได้เรียนรู้มากขึ้นด้วย

Thomas J Watson ผู้ก่อตั้ง IBM เคย ได้บอกไว้ว่า สูตรแห่งความสำเร็จนั้น ค่อนข้างง่าย เพียงแค่คุณเพิ่มอัตราของการล้มเหลวให้เพิ่มเป็นสองเท่า

การพัฒนาความคิด ในการเติบโต นั้นเปิดกว้าง สำหรับทุกคน คุณพร้อมที่จะ ล้มเหลวเพื่อเพิ่มโอกาส ในการประสบความสำเร็จ แล้วหรือยัง?

การเรียนรู้และการฝึกฝนในชีวิตจากสิ่งเล็กๆน้อยๆนำมาซึ่งคุณประโยชน์อันมหาศาล

Lifelong Learning and Practice Will Help You Benefit From the Slight Edge

การมีความคิดที่เติบโต (Growth Mindset) คุณจะเข้าใจว่าคุณนั้นทำได้ และคุณต้องพัฒนาตัวเอง อย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับสภาพแวดล้อม ที่อยู่รอบตัวคุณ

การเลือกที่ดี ในเรื่องต่างๆในอดีต ได้นำพาคุณมาสู่จุด ที่คุณอยู่ในปัจจุบัน แต่อาจไม่ทำให้คุณอยู่ที่นั่นกับที่ได้ โดยไม่ทำอะไรต่อไป ก็ในเมื่อโลกที่เราอยู่นั้น เปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา

มันต้องใช้เวลา และการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิตคือการเรียนรู้ ด้วยวิธีการที่ให้ความสำคัญ กับสิ่งเล็กๆน้อยๆ ทำให้เป็นกิจวัตร จนเหมือนเป็นสิ่งที่ขาด ไม่ได้ต่อชีวิตของเรา

เลือกที่จะการอ่านหนังสือ ก็เป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ และให้ความรู้ได้มากมาย ถ้าคุณกอ่านหนังสือ 10 หน้าทุกวัน นั่นเท่ากับว่า คุณสามารถความรู้ที่ได้ ไปสร้างประโยชน์ให้กับชีวิตคุณ ได้อย่างมาก กระทำอย่างต่อเนื่อง จนครบ 1 เดือน หมายความว่า คุณสามารถอ่านหนังสือได้ทั้ง 300 หน้า

เลือกฟังเรื่องราว ที่เป็นประโยชน์ที่เป็นเรื่องราวที่ สามารถนำไปพัฒนา ชีวิตของคุณได้ ฟังทุกวัน วันละ15 นาที หรือคุณอาจจะ เข้าร่วมหลักสูตร หรือการสัมนาที่เพิ่มความรู้ ทุกๆสองสามเดือน ก็ยังสามารถทำได้ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้กว้างมากขึ้น

เรื่องของการศึกษาเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่คุณนั้น ได้ทำกับข้อมูล หรือความรู้ที่คุณได้รับนั้น สำคัญยิ่งกว่า เพราะคุณจะเห็นผลการเติบโต และการพัฒนาในตัวของคุณนั้น ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

เมื่อคุณได้เรียนรู้บางสิ่ง คุณต้องนำไปปฏิบัติด้วย สิ่งนี้จะทำให้คุณ เข้าใจความรู้ ที่ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในฐานะ ปราชญ์ชาวจีน ขงจื้อ กล่าวว่า ความรู้ที่ปราศจาก การฝึกฝน นั้นไร้ประโยชน์ และการฝึกฝน โดยปราศจากความรู้ นั่นก็เป็นเรื่องที่อันตราย

นอกจากนั้น คุณยังสามารถ ที่จะเรียนรู้ได้จากผู้อื่น เมื่อคุณนั้นรับรู้ และสัมผัสได้ว่า บุคคลคนนั้น มีแรงบันดาลใจ คล้ายกับคุณ และมีในสิ่งที่คุณนั้นต้องการที่จะเป็น คุณสามารถสังเกต และคัดลอก และนำปฏิบัติได้

แต่ในเรื่องการศึกษานี้ จะมีผลในการเปลี่ยนแปลง ในชีวิตคุณได้จริงๆ ก็ต่อเมื่อคุณได้ใช้มัน เพื่อฝึกฝนจิตใจ ของคุณ ในการที่จะทำเช่นนี้ได้ แต่ก่อนอื่นเหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องเข้าใจการทำงานของสมองก่อนว่า  สมองที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวทำงานอย่างไร

สมองที่รู้ตัวได้ดี จะมีพลังงานมาก แต่จะสามารถจดจ่อ กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ ทีละเรื่อง และฟุ้งซ่านได้ง่าย ในทางกลับกันสมองที่ไม่รู้ตัว การทำงานแทบ ทุกกระบวนการ ทางสมองของเรา 99.99% ของทุกสิ่ง ที่เราทำ คือสมองของเรา มีการนำร่อง การจดจำ โดยอัตโนมัติ

ตัวอย่างเช่น คุณเคยเดินหรือขับรถ ไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย และจำได้ดี ในขณะที่จิตใจของคุณ หมกมุ่นหรือกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่บ้างมั้ย? แน่นอน เราทุกคนต้องเคยเจอ กับสถานการณ์แบบนี้ ทำไมถึงเกิดขึ้น? เกิดขึ้นได้จาก จิตสำนึกของคุณได้เรียนรู้ และจดจำเส้นทางเป็นอย่างดี ซึ่งมันฝังอยู่ในจิตใต้ สำนึกของคุณ

ในการตัดสินใจ ที่จะเลือกสิ่งที่ดีๆ ต่อไปนี้ ให้กับชีวิตของคุณ คุณจำเป็นจะต้องฝึก สมองส่วนที่ไม่รู้ตัว ว่าคุณจะทำได้อย่างไร? คุณต้องใช้สมองที่รู้ตัว เป็นตัวกำหนด เพื่อระบุแนวทางปฏิบัติ ที่คุณต้องการนำมาใช้ หลังจากนั้นให้คุณทำซ้ำๆ จนกว่ามันจะเข้าสู่จิตใต้สำนึก ของคุณและกลายเป็นสิ่งที่ คุณนั้นทำได้อย่างอัตโนมัติ

Momentum ความสำเร็จ การไตร่ตรอง และการเฉลิมฉลองในส่วนที่ประสบความสำเร็จ

Momentum, Completion, Reflection, and Celebration

Momentum คือพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ Momentum จะพาเราไปสู่เป้าหมายได้ เราต้องใช้พลังงาน และความคิดริเริ่ม เพื่อการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ Momentum ก็จะช่วยในการขับเคลื่อนเรา ไปข้างหน้า และเมื่อเราเริ่มมีการเคลื่อนไหว เมื่อเราเห็นการเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีขึ้น ก็จะเป็นสิ่งที่นำเราเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ได้ง่ายขึ้น

นั่นคือเหตุผลสำคัญ ที่ศิลปะในการต่อสู้ จึงไม่หยุดการเคลื่อนไหว การเปลี่ยนทิศทาง ในการเคลื่อนไหวเพื่อหาจังหวะในการตั้งรับและต่อสู้ จะทำได้ง่ายกว่า การเริ่มต้นใหม่ เพื่อสร้างโอกาสในการชนะในเกมการแข่งขัน

พลังงานของ Momentum จะขับเคลื่อนเราไปข้างหน้า แต่ความคืบหน้านั้น อาจจะถูกกลืนหายไปได้ หากเราทำสิ่งที่ เราเริ่มไว้ไม่เสร็จ การมีงานที่กองอยู่มากมาย หรือมีภาระที่ยังทำไม่เสร็จ ไม่สมบูรณ์ เช่น ค่าใช้จ่ายที่ยังไม่ได้ชำระ โครงการที่ยังไม่เสร็จ คำสัญญาที่ไม่เรียบร้อย อาจทำให้เราสัมผัสความรู้สึก ของความสำเร็จยังไม่ได้

งานที่ไม่สมบูรณ์ สามารถดึงเรากลับไปสู่อดีต และออกนอกเส้นทาง ที่จะพาสู่ความสำเร็จได้ หากนี่คือความท้าทายของคุณ ทำไมคุณไม่เริ่มทำ จากสิ่งเล็กๆน้อยๆ ก่อนเพื่อช่วยให้คุณ เอาชนะมันได้ เฉกเช่นเดียวกับเด็ก ที่กำลังเรียนรู้ ที่จะหัดเดิน

จัดการทีละโครงการ และในไม่ช้าคุณจะได้สัมผัส ซึ่งความรู้สึกพึงพอใจกับตัวคุณเอง ที่มาพร้อมกับงานที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

หากคุณมีปัญหา กับเรื่องความสำเร็จ ตัวช่วยทั้ง 3 ของเราจะแสดงให้คุณเห็นว่า มันสามารถช่วยให้คุณ รู้ว่าจำเป็นต้องปรับปรุงตรงไหน เพราะบางครั้งชีวิตมันยุ่งยาก จนเรามักจะใช้เวลา ไปกับการทำสิ่งต่างๆ มากกว่าที่จะมานั่งทบทวน การกระทำของตัวเราเอง

เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด จากการไตร่ตรอง และการทบทวน การกระทำของเรา คุณสามารถเลือกที่จะ จดบันทึกประจำวัน หรือพูดคุยกับเพื่อน ที่มีความคิดคล้ายๆกัน เป็นประจำ หรือพบผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้ช่วย แนะนำก็ได้เช่นกัน

ไม่ว่าคุณจะทำกิจกรรมอะไร ก็ตามแต่ ให้ถามตัวเอง ด้วยคำถามที่เป็นน่าสนใจดังต่อไปนี้ เช่น อะไรคือสิ่งเล็กๆน้อยๆแต่สำคัญที่ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายของคุณ? คุณได้ทำมันหรือเปล่า? คุณเองกำลังอยู่ บนเส้นทางสู่ความสำเร็จหรือล้มเหลว?

ความสวยงามของ การสะท้อนกลับของผล เรื่องการกระทำ อาจจะไม่ใช่แค่การระบุพื้นที่ หรือสิ่ง ที่ต้องปรับปรุงเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องเน้น ถึงสิ่งที่เรานั้นได้ทำด้วยว่า เราได้ทำมันดีแล้วหรือไม่

จากนั้นก็นำไปสู่ การเฉลิมฉลอง เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเมื่อเรารู้สึกดี กับตัวเองมันจะกระตุ้น ให้เราทำได้ดีขึ้นอีก ดังนั้นจงเฉลิมฉลอง ให้กับความสำเร็จของคุณ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูเหมือนเล็กน้อย แค่ไหนก็ตาม เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีอะไร ที่ทำให้ประสบความสำเร็จ เท่ากับความสำเร็จ ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งต่อจากนี้

ประสบความสำเร็จในชีวิตควรทำอย่างไร? ใช้พลังแห่งการมีนิสัยคิดบวกเพื่อผ่านพ้นไปให้ได้

How to be successful in life - build positive habits

เราทุกคนต่อสู่ เพื่อเลิกนิสัยที่ไม่ดี แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ แล้วก็ตาม และนี่คือเคล็ดลับ วิธีที่ง่ายที่สุด ในการกำจัดนิสัยที่ไม่ดีออกไป คือการแทนที่ด้วยนิสัยที่ดี

นิสัยที่ดีถือว่า เป็นส่วนประกอบสำคัญ ในการประสบความสำเร็จ ในชีวิต แต่การสร้างนิสัยที่ดี จำเป็นต้องมีการลงมือกระทำ

ไม่ว่าเราเองจะมีทักษะความรู้ ประสบการณ์มากมายเพียงใด สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่มีประโยชน์ เว้นแต่ว่าเราจะทำอะไรบางอย่าง นั่นเป็นเหตุผล ที่นิสัยแรก ที่เราต้องปลูกฝังคือการลงมือกระทำ ดังที่ ราล์ฟวัลโดเอเมอร์สัน นักปรัชญาชาวอเมริกันเค้าเขียนไว้ว่า “ทำสิ่งนั้นแล้วคุณจะมีอำนาจ”

นิสัยหลัก 7 ประการสามารถช่วยให้เราอยู่บนเส้นทางสู่ความสำเร็จ

  • การแสดงออก ลงมือกระทำ
  • คงเส้นคงวา ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
  • มีมุมองเชิงบวก
  • มุ่งมั่น ไม่ท้อแม้ระยะทางแห่งความสำเร็จจะยาวไกล
  • ปลูกฝังความปรารถนาอันแรงกล้าและมีศรัทธาและความเชื่อมั่น
  • ยินดีที่จะจ่ายหรือเสียสละ
  • ฝึกฝนและมีวินัย ใส่ใจในสิ่งเล็กๆน้อยๆ

ในขณะที่ การลงมือกระทำ เป็นสิ่งที่ดี ที่จะทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือการทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างมีวินัย

การลงมือกระทำ อย่างต่อเนื่อง เราจะต้องมีทัศนคติที่คิด ในเรื่องของการปรับปรุง ได้ด้วยมุมมองในเชิงบวก เพราะจากการวิจัยพบว่า คนที่คิดในเชิงบวก มักจะประสบความสำเร็จ มากกว่าคนที่คิดในเชิงลบ

นอกจากนี้เรายังต้อง มีความมุ่งมั่น ในการเดินทางที่อาจจะต้อง ใช้เวลาอันยาวนานกว่า ที่จะประสบความสำเร็จ แทนที่ การคาดหวังความสำเร็จที่จะต้องสำเร็จในทันที เราต้องใช้ความอดทน เช่นเดียวกับชาวนา ที่รู้ว่าต้องรอทั้งฤดูกาล เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต

นิสัยที่เป็นด้านดีอีกประการหนึ่ง ที่ควรปลูกฝัง คือความปรารถนา ที่จะทำในสิ่งที่เราต้องการให้สำเร็จ และเราจะต้องไม่หยุดที่จะทำมันต่อไป แม้ว่าเราอาจจะได้มาแล้ว ในสิ่งที่เราต้องการในระดับหนึ่ง แต่เราต้องการความปรารถนา ที่ลึกซึ้งและหลงใหลเกี่ยวพัน กับความเชื่อมั่นว่าเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ อยู่ใกล้แค่เอื้อม

ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ดังนั้นเราต้องเต็มใจ ที่จะต้องจ่าย หรือต้องเสียสละ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเรา มันอาจจะง่ายพอๆกับ การงดอาหารขยะที่ไม่มีประโยชน์ ประเภทใดประเภทหนึ่ง ที่เราชอบหรือ การตื่นแต่เช้ามากขึ้น ไม่ว่าเราจะจ่ายเงิน เพื่อความสำเร็จในราคาใดๆก็ตาม แต่ราคาของความล้มเหลวนั้นแย่ กว่าเมื่อเรานำมาเปรียบเทียบกัน

สุดท้ายเราต้องฝึกฝน และมีวินัยในการปฏิบัติตัวและใส่ใจ กับสิ่งเล็กๆน้อยๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง ลองถามตัวเองว่า ฉันทำตามคำมั่นสัญญา ที่ให้ไว้กับตัวเองและทำมัน เมื่อไม่มีใครเฝ้าดูหรือไม่?

วิธีบรรลุความฝันของคุณด้วยการจดบันทึกทุกวัน พัฒนาแผนที่วางไว้พร้อมกับลงมือกระทำ

How to be successful in life

เราทุกคนมีความฝัน น่าเศร้าที่มีเพียงไม่กี่คน ที่สามารถทำให้ฝันเป็นจริงได้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะไล่ตามมันได้อย่างไร แต่มีสูตรทดลอง และทดสอบ แล้วว่าได้ผล และมันค่อนข้างง่าย ขั้นตอนแรก ในขั้นตอนนี้คือ การทำความฝันของเราให้เป็นจริง

เพื่อให้ได้ผลที่ดี เราต้องใช้ประสาทสัมผัส นั่นหมายถึง การวางความฝันของเรา ลงในคำพูด หรือสร้างกระดาน ความฝันโดยใช้รูปภาพ ยิ่งไปกว่านั้น เราสามารถพูดคุย กับคนอื่นเกี่ยวกับความฝันของเราก็ได้ เพื่อตอกย้ำใ้หชัดเจนกับตัวเองอีกทีถึงสิ่งที่เราต้องการ

แต่ในขณะที่เรามีการจินตนาการ ถึงความฝันของเราอย่างแรงกล้า แต่อย่าลืมว่าเราจำเป็น ต้องกำหนดความฝันเหล่านั้น ด้วย

หากความฝันของคุณ คือการมีอิสระทางด้านการเงิน ให้คุณพยายามกำหนด จำนวนเงินออม ที่คุณต้องการ เพื่อให้ได้อิสรภาพนั้น หรือหากคุณต้องการ มีสุขภาพที่ดี ให้อธิบายประเภท ของกิจกรรมที่คุณต้องทำ และสิ่งที่เป็นสิ่งจำเป็นต้การทำให้เป้าหมายของเรา ให้มีความชัดเจนมากเท่าไหร่ จะยิ่งทำให้เราเข้าใกล้ การดำเนินชีวิตของความสำเร็จไปอีกขั้น

ตามที่นโปเลียนฮิลล์ นักเขียนชาวอเมริกัน ได้อธิบายถึงเป้าหมาย คือ ความฝันที่มี กำหนดเวลา ดังนั้นเมื่อคุณเขียนความฝันของคุณลงไป ให้ระบุวันที่ อันนี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะ 80% ของทุกสิ่งที่เราทำมักจะสำเร็จใน 20% สุดท้ายของเวลาที่มีอยู่ หากเราไม่กำหนดเส้นตาย ความฝันของเราอาจ ไม่มีวันกลายเป็นความจริง

การเขียนความฝันของคุณ หมายความว่า มันจะช่วยให้คุณสามารถอ่าน ได้ทุกวัน การบอกและย้ำกับตัวเองว่า เป้าหมายของคุณคืออะไร มันมีพลัง แทนที่จะปล่อยความคิดล่องลอย ไปนอกเส้นทาง มันจะช่วยให้คุณมีสมาธิ กับสิ่งที่ต้องการบรรลุได้มากขึ้น

ยิ่งเราซึมซับวิสัยทัศน์ และกับสิ่งที่เราต้องการมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก จากนั้นเราก็จะ เริ่มคุ้นเคยกับการ คว้าโอกาสที่ช่วยให้เราบรรลุความฝัน ได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังง่ายขึ้น ที่จะช่วยทำให้เราปฏิเสธ สิ่งรบกวนที่สามารถ เบี่ยงเบนเราจากเส้นทางสู่ความสำเร็จ

ซึ่งจะเป็นตัวช่วยเปิดทาง ไปสู่การพัฒนาแผนที่มี ซึ่งแผนที่มีนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นแผน ที่มีความซับซ้อน ในทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เป็นเพียงขั้นตอน ที่จะทำให้เราได้เริ่มต้นที่ได้ลงมือทำเท่านั้น

จำคำกล่าวของ Ralph Waldo Emerson ที่ได้พูดถึงก่อนหน้านี้ได้มั้ย “ทำสิ่งนั้นแล้วคุณจะมีพลัง” เช่นเดียวกับวัยเด็กหัดเดิน ที่ก้าวแรก เราเพียงแค่ต้องเริ่ม และแรงกระตุ้นก็ จะขับเคลื่อนพาเราไปข้างหน้า

บทสรุปสุดท้ายและคำแนะที่นำไปปฏิบัติได้เกี่ยวกับการประสบความสำเร็จในชีวิต

How to be successful - believe in yourself

เวลาอาจเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด หรืออาจจะเป็นศัตรูตัวร้ายที่สุดของคุณ แต่หากเราปฏิบัติตาม ด้วยการกระทำที่มีวินัยและใส่ใจต่อสิ่ง เล็กๆน้อยๆ ต่อสิ่งที่เรียบง่าย และมีแนวคิดที่เป็นไปในเชิงบวกทุกวัน ความสำเร็จจะปรากฏชัด เมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าเราเพิกเฉย ต่อเรื่องธรรมดาของชีวิต เราอาจจะไม่บรรลุเป้าหมาย

และเพื่อให้ชีวิตของคุณนั้นง่ายขึ้น ในขั้นตอนนี้ จงพยายามนำพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางผู้คน ที่ประสบความสำเร็จ

คุณอาจเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “นกที่มีขนแบบเดียวกันก็จะอยู่รวมกัน” พวกเขาทำเช่นนั้น เพราะพวกเขาทั้งหมด มุ่งหน้าไป ในทิศทางเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน หากคุณต้องการประสบความสำเร็จ ให้มองไปที่ผู้คนรอบตัวคุณ และถามว่า พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ใด

ถ้าคนที่อยู่รอบตัวคุณ ทำให้คุณรู้สึกแย่ หากพวกเค้าเหล่านั้น กำลังมุ่งหน้าไปสู่ความล้มเหลว คุณก็จะต้องไปที่นั่นเช่นกัน แต่ถ้าพวกเขาอยู่บนเส้นทาง สู่ความสำเร็จ ที่นั่นก็จะเป็นจุดหมายของคุณเช่นกัน

และจำไว้ว่า ไม่สำคัญว่าคุณจะมาจากไหน มันไม่สำคัญ มันไม่ได้สร้างความแตกต่าง แต่สิ่งที่มันจะสร้างความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงก็คือ คุณกำลังจะพาตัวคุณเองนั้น มุ่งหน้าไปที่ใดนี่สิคือสิ่งที่สำคัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง