การสร้างภูมิคุ้มกันด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง

0

จิตใจที่ เข้มแข็งสามารถ เป็นเกราะที่ สร้างภูมิคุ้มกัน (immunity) ได้อย่างไร ตั้งแต่เกิดมา ทุกคนผ่าน และได้พบเจอกับ เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต ที่แตกต่างกัน ประสบการณ์ ทั้งหมดที่ผ่านมา เป็นบทเรียน ที่ทำให้ชีวิต ได้เรียนรู้ ผิดพลาดบ้าง ประสบความสำเร็จบ้าง คละเคล้ากันไป จิตใจที่เข็มแข็ง ไม่ว่าจะเจอกับ เหตุการณ์ที่เลวร้ายมาก แค่ไหนมักจะเป็นตัวนำพา ให้เราผ่านไปได้เสมอ

การสร้างจิตใจ ของตัวเองให้เข้มแข็ง เป็นการ สร้างภูมิคุ้มกัน ให้กับตัวเราได้ดีเยี่ยม จิตใจที่เข้มแข็ง มักจะทำให้ มองเห็นสถาณการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ อย่างมีสติ ในสภาวะ สภาพสังคม สิ่งแวดล้อม  เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่งผลต่อสภาวะ จิตใจ สุขภาพ การ ยั้งคิด  ไม่หวั่นไหว ไปกับ สถานการณ์ ที่มีการเปลี่ยนแปลง จะทำให้ ชีวิต มีความเป็นอยู่ ที่ง่ายขึ้น

นอกจาก จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน ในสังคมได้แล้วยัง สามารถสร้าง สร้างภูมิคุ้มกัน ที่แข็งแรงให้กับร่างกาย ด้วยเช่นกัน เช่นกัน

ภูมิคุ้มกันที่สร้างโดย จิต สร้างภูมิคุ้มกันให้ กับร่างกาย

จิตใจที่เข้มแข็ง เป็นภูมิคุ้มกัน ให้กับ ร่างกายได้อย่างไร ขออนุญาต ยกตัวอย่าง ที่เห็นได้ชัด ในเรื่องของจิต ที่ส่งผลด้านสุขภาพ ตัวอย่างเช่น ในกรณีของผู้ป่วย ที่เจ็บป่วยที่เป็น โรคที่ร้ายแรง ที่บางรายการวินิจฉัยของแพทย์ ได้ผลสรุปออกมา แนวโน้มที่รักษาหาย นั้นมีน้อยมาก ผู้ป่วยมี โอกาสที่จะรอดจากโรค ที่เป็นอยู่น้อยมาก

แต่ผู้ป่วยกลับไม่ยอมแพ้ และมีจิตใจ ที่เข้มแข็ง ในเมื่อ โรคที่เป็นอยู่ ยังมองเห็นโอกาส จึงคิดที่จะสู้ ด้วยจิตใจ ที่เข้มแข็ง ซึ่งในบางครั้ง ทำให้ผู้ป่วยบางราย สามารถหายจากโรค ที่เป็นอยู่ หรือมีอาการที่ดีขึ้น จากสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง

ผู้ป่วยหนักที่ใจสู้

ในทางตรงกันข้าม สถาณการณ์ แบบเดียวกัน แต่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย ที่มีจิตใจ ที่ท้อแท้ ไม่สู้  ไม่สามารถ ที่จะสร้างกำลังใจ ให้กับตัวเอง ให้กับจิตใจของตัวเองได้ ร่างกายเริ่มถดถอย ตามจิตที่ควบคุม สภาพจิตใจที่ไม่สู้ ไม่ว่าจะได้ยาดี ขนาดไหน ได้หมอที่รักษาเก่งแค่ไหน ถ้าผู้ป่วยมีร่างกาย และจิตใจที่ ไม่สู้ ไม่เข้มแข็ง ก็คงไม่สามารถ ที่จะช่วยอะไรได้มากนัก

โปรแกรมแสกนด์ไวรัส กับ ภูมิคุ้มกัน ทางจิต

ขอยกตัวอย่าง ให้เห็นภาพง่ายๆ  ร่างกายเปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง เพื่อให้การใช้งาน เป็นไปอย่างมีคุณภาพ และไม่เกิดปัญหา จำเป็น จะต้องติดตั้ง โปรแกรมแสกนด์ไวรัส เพื่อป้องกันไม่ให้ ไวรัสเข้ามา ทำลายระบบ และข้อมูลต่างๆ ในเครื่องซึ่งจะมีผลทำให้ ไม่สามารถใช้งานได้ หรือทำงานช้าลง หรืออาจจะใช้ไม่ได้เลย

ร่างกาย ก็เช่นเดียวกัน เรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต กระบวนการแรก ที่รับรู้คือ จิต จิตจะรับรู้ และ คัดกรองว่า สิ่งไหนควรจะนำเข้ามา ให้ความสำคัญ สิ่งไหนควรปล่อยผ่าน ไม่เก็บมาคิด คิดมาก เครียดมาก สมองทำงานหนัก ร่างกายไม่ได้พักผ่อน ซึ่งยิ่งเป็นการสร้างผลลัพธ์ที่ไม่ดีให้กับ สุขภาพร่างกาย

คอมพิวเตอร์

เป็นเรื่อง ที่ทราบกันดี อยู่แล้วว่า ความเครียด เป็นตัวก่อให้เกิดโรคภัย ได้มากมายโรคที่เกิดแล้วมี ผลต่อร่างกายโดยตรง ก็มีเยอะ หนักบ้าง เบาบ้าง สะสม จนสุดท้ายทำให้ เกิดโรคที่ร้ายแรงก็อาจเป็นได้

หรือ โรคที่เกิดแล้วมีผลต่อ จิตใจ ยิ่งแย่หนัก เข้าไป อีก เพราะโรคที่เกิด และส่งผลต่อ สภาพจิตใจนั้น ไม่มียา หรือการรักษา ที่จะสามารถแก้ไข ได้อย่างเห็นผล

ดังนั้น การสร้างจิตใจ ที่เข้มแข็ง ให้กับร่างกาย ก็เปรียบเหมือนเราติดตั้ง โปรแกรมแสกนด์ไวรัส ให้กับร่างกาย เพื่อเป็นการป้องการ และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ให้กับร่างกาย เพื่อ ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่าง มีความสุข ไปพร้อมกับ มีสุขภาพที่แข็งแรง ที่ออกมาจากภายในอย่างแท้จริง

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

การสื่อสารภายในครอบครัว

การสื่อสาร การพูดคุย เป็นทางแก้ สำหรับ ปัญหาที่เกิดขึ้น ในความสัมพันธ์  เคยสงสัยหรือไม่ ว่าทำไมคนใน ครอบครัวถึงได้ มีปัญหาบ่อย ทำไมถึงทะเลาะกัน ได้บ่อยครั้ง ปัญหามันเกิดจากอะไร ทั้งๆที่ ในครอบครัว ก็มีทุกอย่าง เพียบพร้อมอยู่แล้ว แต่ทำไม ปัญหา จึงมีมาให้แก้ ตลอดเวลา

การสื่อสาร ภายในครอบครัว เพียงพอมั้ย สาเหตุของการทะเลาะ หรือ มีปากเสียที่ ไม่เข้าใจกัน ในครอบครัว ในบางครั้งมัน ไม่ควรจะสร้างให้เป็น ปัญหาเลยด้วยซ้ำไป เวลาคนใน ครอบครัวมีปัญหา ไม่เข้าใจกัน มีเรื่องที่ต้องทะเลาะกัน ตลอดมันเป็น เรื่องที่บั่นทอนความรู้สึก

ตัดทอนกำลังใจ สร้างความเหนื่อยล้า ที่เกิดจากภายใน นอกจาก ปัญหา ระหว่างวัน ที่ออกไปเจอะเจอนอกบ้าน เวลากลับบ้าน กลับต้อง มาเจอ กับปัญหาที่บ้าน ซึ่งการแก้ปัญหา ที่เกิดจากคน ใกล้ชิด หรือคน ที่เรารัก ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ใครจะสามารถ แก้ไขได้จริงจังถ้า ไม่ได้รับความร่วมมือ จากคน ที่เกี่ยวข้อง

ปัญหาที่เกิดคน ในครอบครัว บุคคลในครอบครัว ก็คือ บุคคลที่ เป็นที่รัก และนับถือ พ่อ แม่ พี่น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย ลูก หลาน เป็นต้น บุคคลเหล่านี้ มีความใกล้ชิด ผูกพันธ์ ที่แน่นแฟ้น โดยสายเลือด ที่สืบต่อกันมาจน เป็นเครือญาติ หรือ เป็นครอบครัว ที่ใหญ่ หรือครอบครัวเล็ก ก็ขึ้นอยู่ กับสมาชิกใน ครอบครัวนั้น ว่า ต้องเกี่ยวข้อง กันมากแค่ไหน

ความใกล้ชิด ผูกพันธ์ ความเป็น เครือญาติเดียวกัน ไม่ได้เป็นตัวตัดสิน ว่าเมื่อใช้ชีวิต อยู่ด้วยกันแล้วจะ ไม่ก่อเกิดปัญหา ยิ่งใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่ ปัญหายิ่งเยอะ ปัญหาจุกจิก ปัญหาความไม่ลงตัวไม่เข้าใจ ความน้อยอก น้อยใจ มีเกิดขึ้นอยู่เสมอ นิสัย บุคคลิก ที่แตกต่างกัน อารมณ์ ความต้องการ

เราจะแก้ปัญหา ดังกล่าวได้อย่างไร ไม่มีใคร สามารถบอกได้ว่าควรทำอย่างไร

แต่ผู้เขียนมีความเชื่อว่า การสื่อสารจะ เป็นตัวช่วยผ่อนคลาย ความตึงเครียด ที่กำลังเกิดขึ้น ในครอบครัวบาง ครอบครัวได้ดี

เปิดใจพูดคุย

ประโยชน์ ของการ สื่อสาร

การสื่อสาร ( Communication ) ช่วยได้อย่างไร การสื่อสารภาย ในครอบครัว คือ การพูดคุยกัน ให้มีความเข้าใจ การใช้เวลาเพื่อนั่งพูดคุยกันมากขึ้น รับรู้ถึงความคิด ของอีกฝ่าย ว่าเป็นอย่างไร ความรู้สึก ความคิดเห็น มุมมองที่มี แนวโน้มที่มี กับสถานการณ์ และถ้าจะให้เกิดผลดียิ่งขึ้นไป อีกหลายเท่าตัวคือ

ทุกครั้งๆ ที่มีการพูดคุย ทั้งสองฝ่ายจะต้อง พยายามเปิดใจกัน ให้ได้มากที่สุด เปิดมาก หรือ น้อยไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยที่สุด เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันในแต่ละครั้ง จะเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ทุกคนเข้าใจ ถึงความหมายของ การสื่อสาร กันในครอบครัวมากขึ้น

เมื่อคนในครอบครัว ได้มีการสื่อสาร การพูดคุยกันมากขึ้น ความเข้าใจ ก็จะเกิดมากขึ้น เมื่อเกิดความเข้าใจ ปัญหาที่เกิด ก็จะลดน้อยลง ความขัดแย้ง ที่เคยเกิดขึ้น หาโอกาสเหมาะๆ ผู้เขียนแนะนำว่าควร ที่จะนำมาพูดคุย เช่นเดียวกัน เพื่อสร้างความเข้าใจ กันอีกครั้ง

ป้องกันไม่ให้ ปัญหาดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นมาได้อีก ปัญหามันก็คือปัญหา ถ้าได้รับ การแก้ไขมันก็จะ ไม่วนกัลมาอีก แต่ถ้าปัญหาใดยากเกินที่จะแก้ไข หรือยังไม่สามารถ แก้ไขได้ ณ ตอนนี้ ก็ให้มองมัน อย่างเข้าใจ

การเปิดใจที่จะทำ ความเข้าใจ การรับฟัง การพูดคุย เป็นการเริ่มต้นที่ดี ในความสัมพันธ์ใช้ได้ใน ทุกสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับ สติและโอกาสที่จะทำให้มันเกิด ได้เมื่อไหร่เท่านั้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

ผู้ได้รับ จากคนที่ไม่ได้คาดหวัง

0

ทั้งชีวิตตั้งแต่จำความได้ ในเรื่องของ การเป็น ผู้ได้รับ และผู้ให้ เราจะเป็นผู้ให้ มากกว่า ผู้ได้รับ  เงิน บ้าน รถ ของใช้สิ่งของต่างๆที่มี เป็นการพยายาม และหามา ได้ด้วยตัวเองทั้งนั้น ทำงาน เก็บเงิน หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง ของตัวเองทั้งสิ้น ไม่เคยหยิบยืมใคร เพื่อให้ตัวเองได้มี เหมือนกับคนอื่นๆ

การพยายามเริ่มต้น ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ เพราะในวิชาที่เรียนเป็น สายวิชาชีพ จึงมีโอกาศได้เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย พร้อมๆกัน เงินที่ได้มาจากการทำงาน ก็มีโอกาศได้ช่วยเหลือ ครอบครัวได้บ้าง ในเรื่องของอาหาร การกินในบ้าน แต่ก็ยังไม่ถึงขนาด เป็นตัวเงิน ที่มากมายนัก แต่ก็พอจุนเจือ ในครอบครัวเพราะมีกันแค่ พ่อ แม่ ลูก

เรียนใกล้จะจบ ก็ต้องสูญเสียพ่อ ที่เปรียบเสมือน ผู้นำในครอบครัว แบบกระทันหัน จากโรคเส้นเลือด ในสมองแตก พอเรียนจบ ก็เริ่มทำงานทันทีเพื่อหาเงิน หลังจากนั้น ก็ทำงานตลอด ทำมาเรื่อยๆจน 5 ปีต่อมาแม่ก็เสียชีวิต จากภาวะโรคหัวใจ ตอนที่แม่ยังอยู่ ความใฝ่ฝันคืออยากจะมีบ้าน เป็นของตัวเอง ก็เลยตัดสินใจ กู้เงินธนาคาร เพื่อทำเรื่องซื้อบ้าน

เพื่อให้เราสองคนมีบ้าน เป็นของตัวเอง แล้วก็ทำสำเร็จ แต่หลังจากที่ สูญเสียแม่แล้ว โดยส่วนตัวเราเอง ไม่ได้ยึดติดกับทรัพย์สิน หรือ สิ่งของภายนอกอยู่แล้ว คิดซะว่าถ้าไม่ตาย ก็หาใหม่ได้ ก็เลยตัดสินใจขายบ้าน เพื่อเคลียร์หนี้สิน กับธนาคารให้หมด เพื่อเริ่มการเดินทางครั้งใหม่ ในชีวิตอีกครั้ง ในแบบตัวคนเดียว

ทำงานหาเงิน เก็บเงินบ้าง ใช้บ้างตาม สถานะภาพ ตามจังหวะชีวิต ในแต่ละช่วง จนเริ่มมีแฟนเป็นคนต่างชาติ ก่อนหน้าก็มีแฟนนะ แต่คบกันไม่นาน  4-5 ปีก็แยกย้าย สมัยก่อนทำงาน เดินทาง ทำงานต่างประเทศตลอด ไม่ได้อยู่ประเทศไทย แต่หลังจากที่ตัดสินใจ ที่จะทำงานในประเทศไทย ก็ได้เจอกับแฟนคนปัจจุบัน

และก็ได้มีโอกาสทำงาน ประจำที่อยู่ในเมืองไทย ชีวิตเหมือนจะเริ่ม เข้าสู่ภาวะที่เริ่มจะนิ่ง ขึ้นเพราะ ไม่ได้เดินทางไป ไกล ซึ่งส่วนใหญ่ ก็จะใช้ชีวิต อยู่กับงานประจำ ที่ทำอยู่และ ก็ใช้เวลากับแฟน จะมีเดินทางบ้าง ก็ไปพักผ่อน หรือเดินทางไปเที่ยว ในประเทศต่างๆ

หลังจากนั้นชีวิต เจอจุดเปลี่ยน ครั้งยิ่งใหญ่ คือตัดสินใจออกจากงาน ประจำที่ทำอยู่ เนื่องจากภาวะกดดัน กับสถานการณ์ ที่อยู่รอบตัว ในที่ทำงาน จึงทำให้ตัดสินใจลาออก โดยที่ยังไม่ได้มี งานใหม่ มารองรับ งานใหม่ไม่มี เงินไม่มี รายได้อื่นๆไม่มี หางานก็ยังไม่ได้ ภาระก็มีทุกเดือน ที่ต้องจ่าย ต้องรับผิดชอบ ทำยังงัยดี

แฟนจะช่วย เหลืออะไรได้ บ้างมั้ย เรื่องการช่วยเหลือ แฟนมีให้ และทำให้อยู่เสมอ แต่เป็นในรูปแบบ ให้คำปรึกษา เป็นกำลังใจให้ พาไปทานข้าว ซื้อของอร่อยๆ มาทานร่วมกัน ซึ่งมัน ก็เป็นเหมือนกำลังใจ ที่ดีมากอยู่แล้ว ในช่วงที่ต้องเจอกับ ภาวะกดดันแบบนี้

เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต

ช่วงชีวิตที่ต้อง อยู่กับสถาณการณ์ ที่กดดันแบบนี้ มีเหตุการณ์ ที่ไม่ได้คาดฝัน ว่ามันจะเกิดขึ้น และได้เกิดขึ้น กับตัวเอง คือ แม่ของแฟนตัดสินใจ จะช่วยเหลือเรา โดยการโอนเงินมา ให้เราเพื่อช่วย ในเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัว ในช่วงที่เรา ยังไม่มีงานทำ คือ ยังไม่สามารถที่จะ หาเงินที่ไหน มาดูแลตัวเองได้

ถึงแม้จำนวนเงิน จะไม่ได้มากมายนัก แต่คุณค่า มันมากมายมหาศาล จนไม่สามารถจะหา คำไหนมา ประเมินคุณค่า ในสิ่งที่แม่แฟน นั้นได้ตัดสินใจ ที่จะทำให้เรา ความรู้สึกที่มี มันไม่สามารถ ที่อธิบายเป็นคำพูดได้ ทั้งชีวิตหาเงิน ด้วย ตัวเองมาตลอด ไม่เคยมีใคร มาหยิบยื่นเงิน ให้โดยที่ไม่ถามถึง เหตุผล ไม่คาดหวัง

เค้ารู้แต่เพียงว่า ต้องการที่จะช่วย และก็จะทำแบบนี้ ไม่ว่าเราจะเห็นด้วย หรือไม่ โดยที่เราเอง เท่าที่จำได้ ไม่เคยที่จะทำอะไร ให้แม่แฟนเลย ไม่เคยได้ดูแล เพราะอยู่คนละประเทศ ไม่เคยได้คุยกัน นานเกิน 2 คำเพราะว่า คุยกันคนละภาษา ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง

แต่แม่แฟน กลับทำสิ่งนี้ให้เรา เพราะต้องการ ที่จะช่วยเหลือจริงๆ และคิดว่าในช่วงเวลา แบบนี้จะต้องเป็น ช่วงที่ลำบาก สำหรับเราอย่างมาก แน่นอน

บทเรียนที่ได้ครั้งนี้

การเป็นผู้รับ จากคนที่ ไม่ได้คาดหวัง มันเป็นความรู้สึก ที่มีคำถามเกิดขึ้นว่า มีแบบนี้ด้วยหรือ? ในสังคมปัจจุบัน ยังมีคนแบบนี้ อยู่อีกหรือ? เรื่องแบบนี้ เคยได้อ่าน และเคยได้ยินมา แต่ไม่คิดว่าจะเจอ กับตัวเอง พอมาได้เจอ กับตัวเองแรกๆ ไม่เข้าใจ และไม่คิด ที่จะยอมรับความช่วยเหลือ

เพราะเรามองว่า มันไม่ยุติธรรม กับอีกฝ่าย ที่จะต้องเสียสละ นำเงินมาให้กับเรา ที่สำคัญเงินจำนวนนี้ เค้าสามารถ ที่จะนำไปสร้างสิ่งต่างๆ ให้กับชีวิตเค้า ได้อีกหลายอย่าง แต่สุดท้าย เราก็ต้องยอม เข้าใจในเหตุและผล ที่ผู้ให้ได้ตัดสินใจ ที่จะให้ เพื่อเป็นการไม่ทำร้าย และแสดงความเคารพ ต่อการตัดสินใจของผู้ให้

มันเป็นการให้แบบ ไม่มีเงื่อนไข มีแต่ความบริสุทธิ์ใจ บวกกับความตั้งใจ และภูมิใจ ที่ได้มีส่วนช่วย เพื่อจะให้เรา ข้ามผ่านในจุด ที่แย่ที่สุดในชีวิต ซึ่งเราไม่คิดว่า เราจะมีโอกาสได้รับ เปรียบเสมือนเป็น ตัวอย่าง ในการใช้ชีวิต อีกรูปแบบนึง ที่มีคุณค่า ต่อแนวคิดในการใช้ชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับ บุคคลรอบข้าง

ให้แนวคิด ที่ว่า วันหนึ่ง ถ้าเรามีความสามารถ ที่จะช่วยเหลือคนอื่น อย่างลังเล หรือสร้าง เงื่อนไขให้ มากจนเกินความจำเป็น

การช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน ในสังคม ไม่ว่าจะมาก หรือจะน้อย เป็นการสร้างพลังงาน ที่ดีช่วยกันส่งต่อ พลังงานดีๆแบบนี้ ให้กระจายอยู่ในสังคม เพื่อความน่าอยู่ และความสงบสุข ที่ก่อตัวขึ้นเล็กๆ ในสังคมที่มีแต่ความวุ่นวาย ในโลกปัจจุบัน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ไม่คาดหวัง คือการไม่ทำร้ายตัวเองและคนที่เรารัก

การใช้ หลักความคิด ในการดำเนิน ชีวิตแบบ ไม่คาดหวัง  กับคนรอบข้าง  กับคนที่ต้อง เข้ามามีบทบาท ในชีวิต เป็น การใช้ชีวิต อยู่ร่วมกัน แบบไม่ทำร้าย ทั้งตัวเอง และ คนที่เรารัก และคนอื่นๆ ยิ่งเราทำได้ มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสร้าง ความไม่วุ่นวาย ไม่สับสน ไม่กระวนกระวายใจ ไม่มีความทุกข์ ไปกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้มากขึ้น เท่านั้น

ตัวแปร ที่มีผลอย่างมาก ในเรื่องของการ คาดหวัง ก็คือ “คน” ถือว่าเป็นตัวแปร ที่สำคัญที่เรา ไม่สามารถที่จะ บังคับหรือ ควบคุมให้เป็นไป ตามแบบที่เราต้องการ หรือเป็นอย่างที่ คาดหวัง ได้เสมอไป ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกัน ในสถานะไหน ก็ตาม เช่น แม่กับลูก พี่กับน้อง เพื่อน สามีกับภรรยา หรือแฟน เป็นต้น

การคาดหวัง ทำลายความสัมพันธ์

การคาดหวัง กับ คนที่เรารัก คนที่อยู่รอบข้างว่า ต้องทำ หรือ ต้องเป็นอย่างที่เราต้องการ หรือ อย่างที่เราคิดไว้ เป็นเรื่องที่ยากเพราะ แต่ละคน มีชีวิตเป็นของตนเอง มีความคิด ความต้องการ เป็นของตัวเอง มีความรับผิดชอบ ต่อชีวิตของตัวเอง เค้ามีสิทธิ จะคิดและเลือก ทำอะไรในสิ่งที่เค้าต้องการ ได้อย่างเสรี ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ อยู่เหนือการควบคุม

ถึงแม้ว่า ความคิดของเรา จะเป็นสิ่ง ที่เรามองว่า เป็น สิ่งที่ดี และน่าจะเหมาะสม กับคนๆนั้น ก็ตาม ความหวังดี และ ความตั้งใจที่ดี เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามาพร้อมกับ การคาดหวังว่า คนๆนั้น จะต้อง ทำตามหรือปฎิบัติตาม

มันจะเป็นการกระทำ ที่จะส่งผลในด้านลบ ให้กับคนทั้งคู่ ยกตัวอย่างเช่น แม่กับลูก แม่มีความ คาดหวัง และต้องการ ให้ลูกโต ขึ้น ได้ทำงาน ที่ดี มีอนาคต ที่มั่นคง จึงมีการวางแผน ว่าลูกควรที่จะ ทำงานในด้านไหน

ความว่างเปล่า

คาดหวังไว้มาก ว่าลูกจะต้องเป็นอย่างที่ตัวเอง คิดไว้ แต่ในความเป็นจริง เมื่อเวลามาถึง ความต้องการ และการตัดสินใจทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับ ตัวลูกเองว่า จะเลือกเดินทางไหน ทั้งหมดที่วางไว้ กลับไม่ตรงกับที่ แม่นั้นได้วางแผน และรอคอยมาตลอดว่า วันนั้นจะมาถึง และแม่เอง ก็จะมีความสุขสมหวัง ตามที่ได้ตั้งใจ

ความผิดหวัง ก่อเกิด ความเสียใจ ทั้งๆที่ ตามความเป็นจริงแล้ว มันไม่ควรที่ จะมีเหตุการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นด้วยซ้ำไป เพียงแค่เปลี่ยน มุมมองในความคิด ไม่คาดหวัง ปล่อยให้เป็นไปตาม ธรรมชาติ ปล่อยให้ลูกได้เรียนรู้ และตัดสินใจด้วยตัวเอง เลือกผิดบ้าง เลือกถูกบ้าง ก็ขอให้ได้เป็นประสบการณ์ในชีวติ ที่ทุกคนต้องเจอ กำลังใจ เป็นสิ่งที่เดียวที่ทำได้ ให้กำลังใจ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน

ความคิด และ ความเชื่อเรื่อง การคาดหวัง เป็นการทำร้ายตัวเอง เป็นการ ลดคุณค่า ของตัวเอง และ รวมไปถึง คนที่อยู่รอบข้างด้วยเพราะอะไร? เพราะความรู้สึก หรืออารมณ์ ในเวลาที่ไม่สมหวัง ในสิ่งที่ตนเองคาดหวัง และต้องการมันมี อนุภาพทำลายล้างสูงมาก

มันทำลาย ความรู้สึกของ ผู้คาดหวัง ทำลายความรู้สึก ของคนโดนถูกคาดหวัง โดยที่รู้ตัวบ้าง หรือ อาจจะไม่รู้ตัวบ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้ว เค้าเหล่านั้นไม่สามารถ เป็นในแบบที่ ผู้คาดหวังนั้น ต้องการให้จะเป็นได้ จากคนที่เคยเข้ากันได้ดี อาจจะทำให้มีปัญหาเกิดขึ้น

บทส่งท้าย

ถ้าเกิด เหตุการณ์แบบนี้ ในความสัมพันธ์ไม่ว่าจะ เป็นความสัมพันธ์ ในแบบไหน มักจะทำให้เกิด ความขัดแย้ง การมีปากเสีย เกิดความไม่เข้าใจกัน เกิดคำถาม ว่า ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้  ซึ่งบางครั้ง อาจถึงขั้นนำ ไปสู่การสิ้นสุดความสัมพันธ์ ก็อาจเป็นไปได้

ถ้าจะลองมองลงไปให้ลึกขึ้นอีก การคาดหวัง บางทีก็มาพร้อมกับการ ล้ำเส้น เพราะอะไร จะมีลักษณะคล้าย ความพยายามที่ จะเข้ามาจัดการ บงการ ชีวิตของคนอื่น ให้เป็นแบบนี้แบบนั้น โดยที่ไม่ได้ถาม ความสมัครใจ ของอีกฝ่ายว่า เค้ายินดีและยอมรับในสิ่งที่คุณ กำลังคิดและกำลังจะทำหรือไม่

บางคน ทำดีกับอีกฝ่าย แล้วคาดหวังว่าอีกฝ่าย จะต้องทำ ในแบบเดียวกันกลับมาให้ แค่คิด ก็ผิดแล้ว ดังนั้นไม่ว่า จะคิดจะทำ อะไรกับใครก็แล้วแต่ อย่าพยายามที่จะ คาดหวังว่า อีกฝ่ายนั้นจะตอบสนอง หรือ ทำอะไรในแบบที่ตัวเองนั้นต้องการ เป็นอันขาด

การรักษาความสัมพันธ์ โดยการลด ความคาดหวัง หรือ ไม่คาดหวัง ในการกระทำของอีกฝ่าย จะช่วยลดความกดดัน ในการใช้ชีวิตร่วมกัน ลดความอึดอัด ลดเบื่อหน่าย ลดปัญหาต่างๆ ได้มากมาย รวมถึงยัง รักษาบรรยากาศที่ดี ให้กับความสัมพันธ์ได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้อง

ชีวิตคู่ที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการแต่งงาน

การแต่งงาน เป็นการเริ่มต้น ของการใช้ชีวิตคู่ เป็นขนบธรรมเนียม ประเพณี สำหรับคู่รัก ที่ตกลงปลงใจ ที่จะสร้างครอบครัว ที่อบอุ่นด้วยกัน ต้องการที่จะ สร้างอนาคต ร่วมกัน มีคำถามเกิดขึ้นว่า สำหรับ คู่รัก ที่ต้องการจะ ใช้ ชีวิตคู่ ด้วยกัน แต่ไม่ได้เริ่มต้น ด้วยการแต่งงาน แต่ต้องการที่จะอยู่ ด้วยกันเลย โดยไม่สนใจในเรื่อง การแต่งงาน สามารถทำได้หรือไม่

เป็นความคิด ที่ผิดกับระบบ ระเบียบ ประเพณี วัฒนธรรมในสังคมหรือไม่ สังคมจะให้การ ยอมรับ กับการตัดสินใจ แบบนี้ได้หรือไม่ ถ้าจะหาคำตอบ ที่จะสามารถอธิบาย ถึงผลที่ได้ ก็คงต้องขึ้นอยู่กับ มุมมอง ของแต่ละคู่ แต่ละคน ว่าคิดในเรื่องของ การแต่งงาน เป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญมากน้อยเพียงใด

พิจารณาเหตุผลหลักๆ ในเรื่องการแต่งงาน ก็น่าจะมีอยู่ไม่กี่ข้อ เช่น

  1. ต้องจัดทำพิธี เพื่อให้เกียรติ และ ขอบคุณครอบครัว ของทั้งสองฝ่าย
  2. เพื่อสร้าง ความมั่นคง ความมั่นใจ และความปลอดภัย ในความสัมพันธ์ ของคนทั้งคู่
  3. เพื่อ แสดงถึงความรับผิดชอบ ของฝ่ายชาย ที่มีต่อ ฝ่ายหญิง
  4. เพื่อ ประกาศให้คนรอบข้าง ได้รับรู้ว่าทั้งสองคน จะใช้ ชีวิตคู่ร่วมกัน
  5. เพื่อสานต่อ ความฝัน ของผู้หญิง ที่ซักครั้ง ในชีวิตต้องมีงานแต่งงาน เป็นของตัวเอง ได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ

โดยหลักๆ ก็จะมีประมาณนี้ หรือ อาจจะมี นอกเหนือจากนี้ ขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ของแต่ละคู่ ที่มีเหตุและผล ที่แตกต่างกันออกไป

พิธีในงานแต่งงาน

เหตุผลที่กล่าว มาข้างต้น มีน้ำหนัก ของเหตุและผล ที่ทำให้การแต่งงาน ดูจะเป็นสิ่งที่จำเป็น และสมควรที่จะต้องทำ ที่จะต้องให้คนทั้งคู่ คิดและตัดสินใจ ให้ถูกต้องว่า ก่อนจะเริ่มต้นในการ ใช้ชีวิตคู่ ต้องแต่งงาน ให้เรียบร้อยเสียก่อน เป็น อันดับแรก แล้วค่อยคิดถึงเรื่อง ชีวิตคู่ที่จะอยู่ด้วยกัน แบบจริงจัง เป็นลำดับต่อไป

มุมมองที่แตกต่าง เรื่องการแต่งงาน

ในทางกลับกัน ในมุมมอง ของคนที่คิด เรื่องการแต่งงาน ไม่ใช่เป็นปัจจัยหลัก ที่จะใช้ ตัดสินว่า คนสองคน ประสบความสำเร็จ ในความสัมพันธ์ และคุณก็จะ สามารถที่จะใช้ ชีวิตอยู่ร่วมกัน อย่างเปิดเผย ต่อสังคมได้ โดยที่ไม่มีคำครหา นินทา จากคนอื่นๆ มันไม่ใช่ สิ่งสำคัญ อีกต่อไป ที่จะต้องนึกถึง สังคมรอบตัวภายนอก และให้สังคม เข้ามามีบทบาท ในการตัดสินใจว่า คนทั้งคู่สามารถ ที่จะอยู่ร่วมกัน ได้หรือไม่

ในความเป็นจริง ของการใช้ชีวิตคู่ สิ่งที่ควร จะนึกถึงและให้ความสำคัญ ที่สุด ไม่ใช่สังคม ที่เป็นปัจจัย ภายนอก สิ่งที่ควรจะให้ความสำคัญที่สุด คือ ชีวิตของ คนทั้งคู่ ว่าจะสามารถ อยู่ร่วมกันได้ จริงหรือไม่ ยอมรับในกันและกัน เข้าใจกันมากน้อยเพียงใด เพราะมันเป็นเรื่องของ คนสองคน ที่จะต้องมาใช้ชีวิต ด้วยกัน

และนอกเหนือจากนั้น บุคคล ที่ควรจะลืมไม่ได้ ก็คือ คนในครอบครัว ที่จะต้องรับรู้ และเป็นกำลังใจ ให้กับทั้งคู่ ที่กำลังจะเริ่มต้น การสร้างครอบครัว ของตัวเอง ให้ขยาย และเติบโต ในอนาคต

ครอบครัวใหญ่

เมื่อทั้งสองคน เข้าใจกัน ตัดสินใจร่วมกัน อย่างแน่วแน่แล้ว ประกอบกับ คนในครอบครัว ก็เข้าใจทุกอย่าง และยอมรับ ในการตัดสินใจ ของคนทั้งคู่ มันก็ไม่ใช่สิ่ง ที่ผิด หรือ เป็นที่น่าอับอาย อีกต่อไป ส่วนที่เหลือ เป็นแค่สังคมภายนอก เป็น คนอื่น ที่แทบจะไม่ได้มีบทบาทอะไรที่ไม่ควรจะนำเข้ามายุ่งเกี่ยว

เพราะสุดท้ายแล้ว เวลามีปัญหาเกิดขึ้น ทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน ไม่สามารถ ที่จะทนอยู่ ด้วยกันได้แล้ว ครอบครัว ต้องแยกย้าย หย่าร้าง หรือมีปัญหา ค้างคา ไม่จบไม่สิ้น  สังคมก็ไม่ได้ เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง หรือ มาช่วยแก้ปัญหา กับเรื่องที่เกิดขึ้น

ในบางสถานการณ์ สังคมกลับ ส่งผลกระทบ ให้เกิดภาวะกดดัน จากปัญหาที่เกิด ขึ้นกับคนทั้งสอง ด้วยซ้ำ ดังนั้น ยิ่งเราจำกัด วงให้แคบลง ในส่วนของผู้ที่ มีผลกระทบ หรือมีบาทกับ ชีวิตของเรา ให้น้อยลง ก็จะเป็นการ ช่วย ลดความวุ่นวาย ปัญหา ในชีวิตของเราได้มากขึ้น

สังคมภายนอก

การเลือกทางเลือก ที่จะปฎิบัติตามระบบ ธรรมเนียมประเพณี ก็เป็นสิ่งที่ดี และถูกต้อง แต่การเลือก โดยคำนึงถึงหลัก ของความเป็นจริง และ ความต้องการ ของคนทั้งคู่ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ และไม่ผิดเช่นกัน สิ่งสำคัญ และมีคุณค่าที่สุด ก็คือการได้มีสิทธิ ที่จะเลือก และดำเนิน ชีวิตคู่ ด้วยกันโดยการตัดสินใจ ของตัวเองนั่น คือสิ่งที่สำคัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทเรียนจากการคบคนต่างชาติ

โดยส่วนตัวแล้ว ตัวเองไม่ใช่เป็น Type ผู้หญิงไทย ที่ชาวต่างชาติ(ฝรั่ง) จะสนใจแต่มีความชอบ ที่อยากจะมีแฟน เป็นฝรั่งมาก ความชื่นชอบ มาจากการชอบดู หนังฝรั่ง เพราะเรา มีความรู้สึกว่า ฝรั่งโดยธรรมชาติ แล้วเค้ามีความ โรแมนติก ( Romantic) การแสดงออก ในเรื่องความรัก ความรู้สึก การสัมผัส มันรู้สึกถึงความจริงใจ และอบอุ่นแบบ ไม่มีเงื่อนไข ทำให้มีความประทับใจ และมีความใฝ่ฝัน ที่ต้องการ จะมีแฟนเป็นฝรั่ง บทเรียน จากการ คบคนต่างชาติ จึงเริ่มต้น

ในที่สุดก็สมหวัง ตอนนี้มีแฟน เป็นชาวเยอรมัน ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน จะเข้าปีที่ 8 แล้ว ก่อนหน้าที่ จะเจอแฟนไม่ค่อยคิด อะไรมากมาย ทำงานหาเงิน ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ได้ตั้งเป้าหมาย อะไรที่แน่นอน แต่หลังจาก ที่ได้เจอแฟนเยอรมันคนนี้ แนวทางใน การใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลง มากมาย

ช่วงระยะ 4 ปีแรกใช่ค่ะ 4 ปี เรียนรู้ ปรับตัวเข้าหากัน เยอะมาก ด้วยเหตุผลที่ว่า เรามีความแตกต่าง กันมาก ช่วงแรกๆ มีความรู้สึกว่า มันต้องปรับตัวเยอะ ขนาดนี้เลยหรือ เหมือนจะเริ่มรู้สึก ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถึงกับมีความคิดที่ว่า เราน่าจะไปกันไม่รอด มันเหนื่อย มันต้องอาศัยความเข้าใจ ในความแตกต่างที่มี ของแต่ละคน อย่างมาก

ความแตกต่าง ของเราทั้งคู่ เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก วัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ระบบ ระเบียบ บทเรียน ในการใช้ชีวิต แนวความคิด ในการใช้ชีวิต เป็นสิ่ง ที่ได้รับการปลูกฝัง และซึมซับเข้าไปอยู่ ในตัวตนของแต่ละคน โดยธรรมชาติ ตั้งแต่เด็ก จนเติบโต

วัฒนธรรมที่ยิ่ง มีความแตกต่างมากเท่าไหร่ ยิ่งสร้างความแตกต่าง ให้กับเราทั้งคู่มาก เท่านั้น มันจึงทำให้ เกิดการเรียนรู้ ที่จะต้องใช้ความอดทน เรียนรู้ ในการใช้มุมมอง ที่กว้างและเปิดใจ การรับฟัง เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้เข้าใจ กับสถาณการณ์ ที่เกิดขึ้น

เมื่อตกลงคบกัน จึงถือเป็นจุด เริ่มต้นในการ ใช้ชีวิตเพื่อศึกษา ซึ่งกันและกัน รวมถึงการปรับตัว และ การทำความเข้าใจ ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ เสมอในทุกๆ สถาณการณ์ เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่การทะเลาะกัน ทุกครั้งเราจะคิดอยู่ เสมอว่าทะเลาะกัน ถกเถียงกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจ กันมากขึ้น ไม่ได้คิดว่าใคร เป็นฝ่ายผิดใคร ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ

       “เป้าหมาย” เปรียบเสมือนพลัง ในการขับเคลื่อนชีวิต เพื่อให้เกิดการเดินทาง โดยมองเห็นเส้นทางที่จะก้าวเดิน มองเห็นถึง อุปสรรค์ การพยายาม การเรียนรู้ที่จะต้องไปให้ถึง “เป้าหมาย”

 

ความสำคัญ ใน บทเรียน ที่ได้รับ

 

เป้าหมายในชีวิต

สิ่งที่ถูกค้นพบว่า เป็น บทเรียน ที่ได้จากความสัมพันธ์ ที่มีความสำคัญ คือ  “เป้าหมาย” การใช้ชีวิตอยู่แบบ ไม่มีเป้าหมายใช้ไม่ได้ อีกต่อไป ชีวิตถ้าอยู่ โดยที่ปราศจากเป้าหมาย ก็เหมือนคนตาบอด ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน

” เป้าหมาย” เปรียบเสมือนพลัง ในการขับเคลื่อนชีวิต เพื่อให้เกิดการเดินทาง โดยมองเห็นเส้นทาง ที่จะก้าวเดิน มองเห็นถึง อุปสรรค์ การพยายาม การเรียนรู้ที่จะต้องไปให้ถึง “เป้าหมาย”

การตั้ง ” เป้าหมาย” บางคนอาจจะ ไม่มีความเข้าใจ หรือไม่สามารถที่จะให้คำตอบ ได้ทันทีเมื่อมีคนตั้ง คำถามว่า เป้าหมายของชีวิตคุณคืออะไร? คุณต้องการที่จะเป็นอะไร? มันเป็นคำถามที่ลึกซึ้ง โดยเฉพาะ เมื่อถูกถามโดยคน ที่คุณกำลังตัดสินใจ ที่จะใช้ชีวิตคู่ อยู่ด้วยกัน เพราะมันคือสิ่งที่สำคัญ ในชีวิตที่จะเป็นแนวทาง ให้กับคู่ของคุณว่า ทั้งคู่จะใช้ชีวิตด้วยกัน แบบไหน อย่างไร

เมื่อเราตั้ง “เป้าหมาย”ให้กับชีวิต ได้แล้ว องค์ประกอบทุกอย่าง ในการใช้ชีวิต เปลี่ยนแปลง ไปอย่างชัดเจน มุมมองในการใช้ชีวิต ความคิด การตัดสินใจ การกระทำ เป็นรูปแบบที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นโอกาศ ให้ทั้งคู่ได้มีการพูดคุย ปรึกษาถึง “เป้าหมาย” ชีวิตของแต่ละคนว่าเป็นแบบไหน และเมื่อตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกันเรา ทั้งคู่จะต้องทำอย่างไร

ถ้าเราตั้ง”เป้าหมาย”ในชีวิตได้เร็วขึ้นเราจะ ไม่เสียโอกาศหรือเสียเวลา ไปกับสิ่งที่มันไม่จำเป็น จะมีก็แต่ ความตั้งใจ และความมุ่งมั่น ที่จะไปให้ถึง และมีแรงผลักดัน แรงจูงใจ ที่จะต้องทำให้สำเร็จ ตามที่ได้ตั้ง ” เป้าหมาย” ไว้ นั่นเอง

บทความที่เกี่ยวข้อง

เปิดใจเรื่องเพศสัมพันธ์มีผลต่อชีวิตคู่

ใน ปัจจัยหลัก อย่างนึง ที่มี บทบาท สำคัญใน ความสัมพันธ์ คือ ปัจจัยเรื่อง “เพศสัมพันธ์”  ถือว่าเป็นปัจจัยที่ สำคัญอย่างหนึ่งที่ ไม่ควรมองข้ามหรือ ไม่ให้ความสำคัญในเรื่องของ ความสัมพันธ์ หรือ การใช้ชีวิตคู่ เปิดใจเรื่องเพศสัมพันธ์ มีผลต่อชีวิตคู่ การเข้าใจ และการดูแลเอาใจใส่กันในเรื่อง “เพศสัมพันธ์” ถือว่าเป็นสิ่งที่อ่อนไหว เรื่องนี้ ทั้งสองฝ่ายต้องเปิดใจ ทำความเข้าใจ ให้ลึกซึ้งว่า โดยธรรมชาติของแต่ละเพศเป็นอย่างไร

ลักษณะความคิด และ ความแตกต่างต่อระบบร่างกาย ในเรื่อง ” เพศสัมพันธ์ ” 

เพศชาย โดยธรรมชาติ ของร่างกาย ความต้องการทางเพศ จะมีอิทธิพลสูงมาก ต่อร่างกาย และจะยัง ส่งต่อถึงภาวะอารมณ์ และ ระบบความคิด โดยส่วนใหญ่ ผู้ชาย เมื่อมีอารมณ์ ความต้องการเกิดขึ้น จำเป็นจะต้องได้รับการระบายออก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เพื่อทำให้ร่างกาย ไม่พบกับสภาพตึงเครียด ที่ยาวนาน มากเกิน ไป ซึ่งถ้ายังคงไม่ได้รับ การปลดปล่อย บางรายจะส่งผล ให้อวัยเพศ เกิดอาการ บวม หรือ เจ็บปวดได้

ดังนั้น ถ้า คู่ที่ คบกัน หรือ มีความสัมพันธ์ ด้วยกัน ไม่มีความเข้าใจ ในจุดอารมณ์ ที่อ่อนไหว แบบนี้ของ เพศชายย่อม จะสามารถสร้างปัญหา ให้กับคนทั้งคู่ได้ มุมมองอาการของ ความต้องการทางเพศ ของเพศชาย มันไม่ใช่สิ่ง น่ารังเกียจการแสดงออกด้านความต้องการเป็นการแสดงออก  ถึงความรัก และการแสดงถึง ความต้องการ ใกล้ชิด คู่ของตน

เพศหญิง โดยธรรมชาติ ของร่างกายความต้องการทางเพศ ไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากนัก อารมณ์ทางเพศ หรือ ความต้องการทางเพศของผู้หญิง โดยส่วนมาก ไม่ได้ถือว่าเป็นส่วน ที่จะทำให้เกิดปัญหา ถ้าไม่ได้รับการปลดปล่อย หรือ ระบายออก โดยส่วนมาก มันไม่ได้ส่งผลทางอารมณ์หรือร่างกายมากมายนัก

อารมณ์ความต้องการทางเพศ ของผู้หญิง จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัย ปัจจัย หลายๆอย่าง เช่น สถานที่ ความพร้อมทางสภาพจิตใจ ความพร้อมทางความถูกต้อง (รักนวลสงวนตัว) มันมีตัวแปลหลากหลาย ถ้าในกรณีที่เป็นครอบครัวแล้ว หน้าที่ ความเหนื่อยล้า จากการทำงาน ความรับผิดชอบที่มี ก็มีผลต่ออารมณ์ทางเพศเช่นเดียวกัน

จากหลักการคิด ของผู้เขียน ตามธรรมชาติ ของเพศจึงจะสังเกตุได้ว่า เรื่องเพศสัมพันธ์ เพศชาย จะมีผลกระทบในด้านนี้มากกว่า เพศหญิงดังนั้น การให้ความสำคัญในเรื่องเพศสัมพันธ์ จึงเป็นเรื่องที่แต่ละฝ่าย จะให้ความสำคัญ ที่ไม่เหมือนกัน เมื่อ  เรื่องเพศสัมพันธ์ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้ชาย ดังนั้นผู้หญิง ก็ควรจะต้องให้ความสำคัญ กับเรื่องนี้เช่นกัน

การเปิดใจ การพูดคุยกัน ให้มีความเข้าใจ ที่ตรงกันกับสิ่งที่แต่ละคน มีความต้องการ หรือ ในด้านของความคิด เพื่อสร้าง ให้ทั้งสองฝ่าย มีความเข้าใจกัน ในเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ย่อมจะเป็น การปูพื้นฐานที่ดี เพื่อป้องกันปัญหา ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ในเรื่อง เพศสัมพันธ์ ในความสัมพันธ์ ของทั้งสองฝ่าย ในอนาคต

เปิดใจเรื่องเพศสัมพันธ์

หัวข้อที่ควรจะ นำมาแชร์ความคิดเห็นใน เรื่องเพศสัมพันธ์

  1. ความคิดเห็นกับ เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ แต่ละฝ่าย มีความคิดเห็นเป็นอย่างไร เป็นเรื่องธรรมชาติมั้ย หรือ ว่าคิดว่า ไม่มีก็ได้ หรือ เป็นเรื่องน่ารังเกียจ หรือ มีประสบการณ์ ที่เลวร้ายก่อนหน้านี้ ในเรื่องเพศสัมพันธ์ เป็นต้น การเปิดใจ พูดคุยกันก่อน ในเรื่องของความรู้สึก จะทำให้รับรู้ความคิด ของแต่ละคน ในเรื่อง”เพศสัมพันธ์”ได้ง่ายขึ้น
  2. ระยะเวลา ในการมีเพศสัมพันธ์ เรื่องนี้ ก็สำคัญบางคู่ ใช้เวลานานมาก กว่าจะถึงจุด Climax บางคู่ใช้เวลาแป็บเดียว หรือ บางคนชอบใช้เวลา ในการ Foreplay ก่อนเพื่อสร้างอารมณ์ และความรู้สึกที่เพลิดเพลินก่อน แล้วค่อยถึง ช่่วงที่ปฎิบัติการ อย่างจริงจัง ต่อไป ซึ่งบางความสัมพันธ์ เรื่องแบบนี้อาจจะไม่น่าสนใจสำหรับอีกฝ่ายก็ได้
  3. กระบวนการ ท่าทาง เรื่องนี้โดยหลักๆ จะมีผลใน เรื่องของระบบสรีระร่างกาย ของแต่ละฝ่ายว่า รู้สึกสบายและ สะดวกกับท่าทางแบบไหน ร่างกาย ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้น กระบวนท่าต่างๆ ที่มีเป็นตัวอย่างให้เห็น จึงไม่ได้ระบุว่า มันจะเหมาะกับทุกคน การมีแนวคิด ในเรื่อง การเปลี่ยนแปลงกระบวนการท่าทางใน การมีเพศสัมพันธ์จะช่วยเพิ่มอรรถรส ได้อย่างมีสีสันและทำให้ไม่มีความเบื่อหน่ายในเรื่องเพศสัมพันธ์
  4. ชอบให้ทำอะไร ไม่ชอบให้ทำอะไร เรื่องนี้พูดคุยกันได้ ความชอบของแต่คน อะไรบ้าง ที่ชอบไม่เหมือนกัน อะไรบ้างที่ อีกฝ่าย มีความชอบ และต้องการให้อีกฝ่าย นั้นทำให้ เรื่องแบบนี้ อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าอาย เพราะวัฒนธรรม ไม่ได้ เปิดกว้าง หรือ ให้แสดงออกกับเรื่องนี้มากนัก การเปิดใจ จะยิ่งเป็นการเพิ่มความใกล้ชิดและไว้วางใจกันกันมากขึ้น

โดยรวมๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ถ้าทั้งคู่ได้ ลองเปิดใจกันอย่างจริงใจ และคุยกันโดย มีรากฐานเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจ มันจะเป็นเรื่อง ที่วิเศษมาก เพราะจะทำให้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่มีช่องว่าง ที่จะปล่อยให้มี มือที่สาม ที่สี่ ที่ห้า เข้ามาเกี่ยวข้อง และสร้างปัญหานเรื่องของชู้สาว การนอกใจ เพราะเกิดจากความต้องการทางเพศที่ไม่เพียงพอในความสัมพันธ์ ซึ่งประสบพบเป็นปัญหามากในสังคมปัจจุบัน

บทความที่เกี่ยวข้อง

พื้นที่ส่วนตัว ทำไมสำคัญต่อชีวิตคู่

พื้นที่ส่วนตัว ในชีวิตคู่ มีไว้ทำมัย เพราะชีวิตคู่ ความหมาย ของคำว่าชีวิตคู่ มีความหมายที่ชัดเจน อยู่แล้วว่า ต้องใช้ชีวิต อยู่ด้วยกันเป็นคู่ นั่นหมายถึง การใช้ชีวิตร่วมกัน มีวิถีชีวิตที่ ต้องไปไหนมาไหน ด้วยกัน เป็นลักษณะ ของการใช้ชีวิตที่ต้อง เพิ่งพาอาศัยกัน และต้องตัดสินใจร่วมกัน

เป็นลักษณะของการใช้ชีวิต ที่กำหนดโดยคนทั้งคู่ ว่าต้องการใช้ชีวิต เป็นแบบไหน จำเป็นที่ต้องปรึกษา พูดคุย และตัดสินใจร่วมกัน แล้ว ทำไมชีวิตคู่ ต้องมีพื้นที่ส่วนตัว พื้นที่ส่วนตัวไม่น่าจะมี ความจำเป็นต้องนำมากล่าวถึง ในเรื่องของ การใช้ชีวิตคู่

เพราะถ้าคนเรา ยังมีความรู้สึกที่ต้องการ จะมีพื้นที่เป็นของตัวเอง ยังต้องการที่ต้องการ จะทำอะไรใน แบบของตัวเอง ก็เท่ากับแสดงออกให้เห็นว่า เค้าหรือบุคคลนั้นๆ คงยังไม่พร้อมที่ จะมีชีวิตคู่ใช่หรือไม่

รู้หรือไม่ว่า “พื้นที่ส่วนตัว”ในชีวิตคู่สำคัญมาก เป็นปัจจัยตัวนึง ที่ทำให้ไม่เกิด ภาวะอึดอัด

ในการอยู่ร่วมกัน

เมื่อตัดสินใจที่ จะใช้ชีวิตร่วมกัน เท่ากับว่าเรายอมรับ ให้อีกฝ่ายเข้ามา มีส่วนร่วมในชีวิต ของเรา ไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม สิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง เป็นอันดับแรก คือ การเข้ามามีส่วนร่วม ในการใช้พื้นที่ อาศัยในพื้นที่ เดียวกัน การแบ่งปัน การพูดคุย การตกลง จะเริ่มมีบทบาท ที่ต้องได้รับการตกลง เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน

การใช้พื้นที่ร่วมกัน ในการทำ กิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน ร่วมกัน การให้ระยะ และ ให้พื้นที่กับอีกฝ่าย เป็นสิ่งที่สำคัญ อย่างมาก การที่เรานั้น เว้นระยะ ให้อีกฝ่าย ยังสามารถที่จะ ใช้ชีวิตในแบบที่ เค้าหรือคุณนั้น ชื่นชอบ หรือต้องการ ย่อมเป็นการ เริ่มต้นที่ดี ในการอยู่ร่วมกัน

นอกจากนั้นพื้นที่ส่วนตัว ยังไม่ได้หมายบริเวณ หรือ พื้นที่ ที่เกี่ยวกับ ที่พักอาศัยเท่านั้น พื้นที่ส่วนตัวที่ กล่าวถึงนี้ ยังรวมไปถึง พื้นที่ส่วนตัวใน เรื่องของความคิด การตัดสินใจ ความชอบ ความใฝ่ฝัน ความเหมือน ความแตกต่าง ของแต่ละคน ที่แน่นอนทุกคนนั้น ต้องมีในสิ่งที่  ความใฝ่ฝันที่ ยังไม่สำเร็จ และยังมีความอยาก และต้องการที่ จะทำให้สำเร็จ

การใช้ชีวิต เราอยู่ด้วยกัน ด้วยการให้ความสำคัญ ในเรื่องของพื้นที่ส่วนตัว ของทั้งสองฝ่าย และมองด้วยความเข้าใจ และให้เกียรติ ซึ่งกันและกัน ไม่มีการก้าวล้ำเกิน ไปในขอบเขต ของพื้นที่ส่วนตัวนั้นๆ นอกเหนือเสียจากว่า จะได้รับยินยอม จากอีกฝ่าย เพราะถึงแม้ว่า ได้มีการตกลง ใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ตกลงที่จะ สร้างชีวิตครอบครัวใหม่ ด้วยกันแล้ว หลังจากนี้

แต่ก็ใช่ว่า จะต้องลืมความเป็น ตัวตนของตัวเอง โดยสิ้นเชิง เพราะความเป็นตัวตน หรือ ชีวิตที่เป็นของเรา ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราต้องเปลี่ยนตัวเอง จนลืมความเป็นตัวตน ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ จะดำเนินไปอย่างไม่รับรู้ หรือสัมผัสได้ถึง ความสุขที่แท้จริง ระยะเวลา จะเป็นตัวกำหนดว่า ในสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไปนั้น มันจะสามารถ เป็นแบบนี้ ไปได้นานแค่ไหน

ความใฝ่ผันที่ต้องไปให้ถึง

ดังนั้น การเว้นระยะ ให้อีกฝ่ายยังมีพื้นที่ ของตัวเอง สามารถตัดสินใจ และทำในสิ่งที่อีกฝ่าย ยังมีความฝัน ที่อยากจะทำหรือ ต้องการมันจะยิ่งสร้าง ความใกล้ชิดกัน มากขึ้น มันเปรียบเหมือน ยิ่งเราให้พื้นที่กับ อีกฝ่ายมองอย่างเข้าใจ จะยิ่งสร้างความความใกลชิด และผูกพันธ์นึกถึงกัน อยู่เสมอ

แต่ถ้าเราต้องการ ที่จะต้องอยู่ทุกที่ รู้ทุกเรื่องจะยิ่ง สร้างความห่างกัน มากขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งอยู่ใกล้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีช่องว่างเกิดขึ้น โดยไม่รู้ตัวเพราะ การกระทำที่ต้องการ ที่จะอยู่ใกล้ตลอดเวลานั้น มันเป็นการกระทำ ที่แสดงออกให้เห็นถึง ความอยากที่จะเป็นเจ้าของ โดยที่ไม่สนใจ หรือมองไม่เห็นถึง ความรู้สึกของอีกฝ่าย ว่าจะรู้สึกอย่างไรบ้าง

ซึ่งถ้าปล่อย ให้พฤติกรรม เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะยิ่งสร้าง ความอึดอัด และจะทำให้รู้สึก ไม่สบายตัว และไม่รู้สึกสบายใจ เวลาอยู่ด้วยกัน บรรยากาศของการ ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ก็จะไม่มีความสุข และ เริ่มที่จะทำให้ ปัญหาต่างๆนั้น เกิดขึ้นได้

เมื่อชีวิตคู่ ดำเนินไปด้วย ความไม่อึดอัด โดยธรรมชาติ ของมนุษย์ จะมีเวลา ในการเรียนรู้ถึง การปรับตัว ในการยอมรับ อีกฝ่ายได้มากขึ้น โดยที่ ไม่มีความรู้สึกขัดแย้ง เป็นการอยู่ร่วมกันแบบ เข้าอกเข้าใจกัน ซึ่งจะนำไป สู่ชีวิตคู่ที่ยั่งยืน ผูกพันธ์ และสัมผัสกันและกัน ได้อย่างลึกซึ้ง และแนบแน่นมากขึ้น

มุมส่วนตัว

พื้นที่ส่วนตัวเป็นการ สร้างการรับรู้ และ การมองเห็นถึงธรรมชาติ ของกันและกัน ในมุมที่กว้างขึ้น ถอยออกมาจุดเดิมๆ ในเวลาที่เกิดปัญหา บางครั้งต้อง เรียนรู้ที่จะเริ่มเว้นระยะ เพื่อให้มองเห็นถึงปัญหา การย่ำอยู่กับที่ บางครั้ง อาจจะไม่ได้ช่วยแก้ หรือ มองเห็นสถานการณ์ใดๆ ได้เลย

ดังนั้น ชีวิตคู่ของแต่ละคู่ ต้องอย่าหลงลืม หรือไม่ให้ ความสำคัญ กับพื้นที่ส่วนตัว ของแต่ละคนที่จำเป็นต้องมีนั่นเอง

 

บทความที่เกี่ยวข้อง